แม้จะผ่านพ้นไปเป็นระยะเวลาร่วม 10 วันแล้ว แต่การประชุม APEC ซึ่งเป็นการประชุมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศรวมกัน 21 ประเทศ ที่รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมก็ยังถูกกล่าวขวัญชื่นชมอยู่โดยตลอด ทั้งในส่วนของประชาชนชาวไทยและสื่อต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ ซึ่งผลของการประชุมเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศจะนำไปดำเนินการต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้มากที่สุด เรื่องนี้นับเป็นความภาคภูมิใจของประชาชนชาวไทยที่มีความรักและภักดีต่อชาติเป็นอย่างมาก
ในช่วงของการประชุมครั้งนี้ ได้ทำให้เกิดกระแสหมุนเวียนทางด้านเศรษฐกิจอย่างดียิ่ง เกิดจากการที่มีผู้เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก ซึ่งประกอบไปด้วยผู้บริหารระดับสูงของประเทศนั้นๆ และผู้ติดตาม มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจำนวนมากตลอดจนในช่วงดังกล่าว เพิ่งผ่านพ้นงานประเพณีลอยกระทงของไทยมาไม่นานนัก จึงมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก มีการใช้จ่ายเงินทั้งในเรื่องของค่าที่พัก ค่าอาหารการกินค่าการท่องเที่ยวและซื้อของที่ระลึกต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในทุกภาคส่วน
ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า หลังจากการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ได้ผ่านพ้นไปจากประเทศไทย จากการจัดการที่ยอดเยี่ยมของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในขณะนี้ประเทศไทยจึงกลับมาเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมหาศาลที่จะเดินทางเข้ามา เนื่องจากฤดูหนาว กำลังคืบคลานเข้าสู่ประเทศแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้นักท่องเที่ยวจากพื้นที่ดังกล่าวเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศในภูมิภาคเอเชีย และประเทศไทยเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางเข้ามามากที่สุด ทั้งนี้ เนื่องมาจากลักษณะอากาศและภูมิประเทศ ตลอดจนความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวมีอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นพระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดโพธิ์ วัดอรุณราชวรารามพระนครศรีอยุธยา สุโขทัย เชียงใหม่ รวมทั้งจังหวัด ชายทะเลภาคใต้ เช่น ภูเก็ต สมุย กระบี่ พังงา ซึ่งล้วนเป็นสถานที่ที่ผูกมัดใจนักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางมาแล้วทั้งสิ้น และที่สำคัญยิ่งคืออาหารไทยและอัธยาศัยไมตรีอันเป็นมิตรของผู้คนในประเทศ
อาจจะมีคำถามว่าโรคโควิด-19 ได้หยุดจากการเป็นโรคระบาดใหญ่แล้วจริงหรือไม่ คำตอบก็คือจริง โดยอาจจะพูดได้ว่าขณะนี้โรคนี้ได้กลายเป็นโรคประจำถิ่นไปโดยปริยาย ถึงแม้จะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ มาตรการในการควบคุมป้องกันได้ถูกผ่อนคลายไปจนหมด เพียงแต่ในประเทศไทยของเรานั้นยังมีข้อแนะนำให้ประชาชนทั่วไปสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกันและการล้างมือบ่อยๆ ด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งก็เชื่อกันว่าจะช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างคนสู่คนเกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่ง
ถึงอย่างไรก็ดีกระแสข่าวเรื่องการระบาดรอบใหม่ของโรคโควิด-19 ในประเทศของเราก็ยังมีออกมาอยู่เนืองๆ มีการพูดกันว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันน่าจะไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ และถ้าหันมาดูจำนวนผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในรอบสัปดาห์ก่อนนั้น ก็มีอยู่เป็นจำนวนถึง 3,900 รายเศษ และมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนรวม 69 ราย ซึ่งหมายความว่าในแต่ละวันนั้นมีผู้ป่วยที่มีอาการมากและต้องเข้ารับการรักษาอยู่มากกว่าวันละ 500 รายและมีผู้เสียชีวิตวันละประมาณ 10 ราย ซึ่งจำนวนดังกล่าวมากขึ้นเกือบ 2 เท่าของตัวเลขในรอบสัปดาห์ก่อนหน้า และหากตัวเลขของรอบสัปดาห์นี้ยังมากขึ้นกว่าเดิมก็แสดงว่ายังคงมีการระบาดอย่างต่อเนื่องเกิดขึ้น
การที่ยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก แต่ตัวเลขไม่ได้ถูกแสดงไว้ ก็แปลว่าผู้ที่ได้รับเชื้อเป็นจำนวนมากไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ซึ่งหากไม่มีการตรวจ ATK ก็ทำให้เข้าใจกันว่าไม่ได้มีการติดเชื้อเกิดขึ้น ทั้งที่ความจริงมีการติดเชื้อและสร้างโอกาสของการที่เชื้อจะแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่น การที่ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรงนั้นเป็นผลมาจากการที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับการฉีดวัคซีนเกินกว่า 2 เข็มแล้วมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และฉีด 3 เข็มแล้วเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เกิดสภาพภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นภายในประเทศแล้ว และยังมีประชาชนบางส่วนที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 หรือแม้แต่เข็มที่ 5 แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยง 608 หรือผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์และการรักษาพยาบาลที่มีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับเชื้อ
จากการที่ตัวเลขของผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้กระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งให้ประชาชนทั่วไปได้ตระหนักถึงโรคโควิด-19 นี้ว่ายังมีอยู่และยังสามารถจะติดต่อกันได้ง่าย เป็นที่ยอมรับกันว่าการฉีดวัคซีนนั้น
แม้จะฉีดมากกว่า 4 เข็มหรือ 5 เข็มก็ไม่อาจจะป้องกันการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ เพียงแต่ว่าเมื่อมีการรับเชื้อเข้ามาร่างกายจะมีภูมิต้านทานอยู่มากเพียงพอที่จะทำให้เชื้อดังกล่าวไม่ทำให้เกิดอาการที่รุนแรง และได้มีข้อแนะนำว่าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่ายังเป็นเรื่องที่ต้องนึกถึงเสมอ โดยเฉพาะหากได้รับวัคซีนเข็มสุดท้ายไปแล้วนานกว่า 4 เดือนหรือ 6 เดือนตามที่ศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ได้ให้ความเห็นไว้ เพราะมีข้อมูลว่าหลังจากการฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายเกินกว่า 4 เดือนแล้ว ภูมิต้านทานที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกายจะเริ่มมีปริมาณลดต่ำลง จึงควรจะได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นเป็นระยะ ซึ่งคำแนะนำนี้นำไปใช้กับผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 และหายจากโรคแล้วด้วย เพราะถึงแม้ว่าจะมีการสร้างภูมิต้านทานตามธรรมชาติขึ้นได้ แต่ภูมิต้านทานดังกล่าวก็จะเริ่มลดต่ำลงเช่นเดียวกัน
มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าเมื่อป่วยโรคโควิด-19 แล้ว จะมีภูมิต้านทานที่ทำให้ไม่ติดโรคนี้อีก ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะมีข้อมูลแล้วว่าผู้ที่เคยติดเชื้อนี้แล้วก็อาจกลับมาติดเชื้อและมีอาการได้อีก บางรายเป็นมาแล้วถึง 3 ครั้ง ทั้งๆ ที่ได้วัคซีนแล้วไม่น้อยกว่า 3 เข็ม เพียงแต่อาการที่เกิดขึ้นในครั้งหลังๆ นั้น จะไม่รุนแรงหรือมากเท่ากับอาการที่เกิดขึ้นในการติดเชื้อครั้งแรกๆ
จึงขอแนะนำว่าสำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วมากกว่า 3 เข็มหรือมากกว่านั้น ซึ่งโดยพื้นฐานถือว่าทำให้มีภูมิต้านทานพอเพียงต่อการป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรง แต่หากเกินกว่า 4 เดือนหลังจากเข็มสุดท้ายก็ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 โดยสามารถจะติดต่อขอเข้ารับการฉีดได้จากสถานพยาบาลของภาครัฐทุกแห่งหรือสถานพยาบาลของเอกชนบางแห่ง ที่ได้ออกประกาศในเรื่องของการฉีดวัคซีนไว้ อาจจะต้องมีการนัดหมายล่วงหน้าเพื่อให้เกิดความสะดวกในการเข้ารับการฉีดวัคซีนซึ่งภาครัฐได้จัดหาไว้และมีปริมาณมากเพียงพอโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด โดยวัคซีนหลักที่ใช้อยู่ในขณะนี้คือวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนน้อย ส่วนวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเออีกตัวหนึ่งคือโมเดอร์นาซึ่งภาคเอกชนได้สั่งผ่านองค์การเภสัชกรรมเข้ามานั้น ขณะนี้ได้หมดอายุลงทั้งหมดแล้ว จึงไม่สามารถนำมาฉีดได้อีกต่อไป
ถึงแม้จะมีข่าวเรื่องการพัฒนาวัคซีนโควิด-19รุ่นใหม่ๆ ซึ่งอาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม กล่าวคือสามารถจะสร้างภูมิต้านทานในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนา 2019 ได้หลากหลายสายพันธุ์มากกว่า เช่น วัคซีนชนิดที่เรียกกันว่าไบแวเรี้ยนต์ (bivarient) ก็ยังไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ที่แสดงถึงผลลัพธ์ในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน จึงต้องรอผลการวิจัยพัฒนาและทดลองใช้ตามระเบียบวิธีที่ถูกต้องต่อไปเสียก่อน
ดังที่เคยได้กล่าวไว้ในบทความที่เคยเขียนก่อนหน้านี้ว่าโรคโควิด-19 จะเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่จะคงอยู่คู่โลกนี้ไปอีกเป็นระยะเวลายาวนาน และก็เป็นธรรมชาติของไวรัสทั้งหลายที่จะมีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา แต่ก็เชื่อว่าการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นใหม่นั้นจะไม่ก่อให้เกิดอาการที่รุนแรงมากกว่าสายพันธุ์ในอดีต เช่น เชื้อสายพันธุ์เดลต้าที่เคยเกิดขึ้นมาในการระบาดของโรคนี้ในระยะต้นๆ ตลอดจนประชาชนส่วนใหญ่ของทุกประเทศทั่วโลกก็ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วเป็นจำนวนมากมาย ฉะนั้นการระบาดแบบกว้างขวางและรุนแรงจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกแล้ว
ยังมีประชาชนส่วนหนึ่งซึ่งถึงแม้ว่าโรคโควิด-19จะเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปีแล้วและถือเป็นโรคระบาดที่มีความร้ายแรงพอสมควร แต่ก็ยังไม่เคยเป็นผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 เลย ก็ขอเตือนว่าอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด โดยเฉพาะหากท่านเป็นผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนมาก่อนเลย ซึ่งมีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งอยู่ในกลุ่มดังกล่าว รวมทั้งผู้ที่ฉีดไม่ครบโดสมาตรฐาน หรือเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง 608 ควรจะต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อป้องกันตัวของท่านเองจากภัยอันตรายของโรคนี้ รวมทั้งป้องกันคนอื่นไม่ให้ต้องมารับเชื้อจากท่านด้วย และแน่นอนการสวมหน้ากากอนามัย และการล้างมือบ่อยๆยังถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี