วิกฤตการเมืองในเมียนมากลายเป็นวาระที่ครอบงำอาเซียนซัมมิต ที่สร้างความผิดหวังให้ตะวันตกและสมาชิกอาเซียนบางประเทศ เมื่อพบว่าการแก้ปัญหาเมียนมามีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เป็นดังที่ตะวันตกคาดหมายจะให้ขับเมียนมาออกจากสมาชิกอาเซียน สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในฐานะประธานการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกล่าวในพิธีเปิดการประชุมว่า
“ขอให้ทุกท่านใช้ความรอบคอบระมัดระวัง และใช้สติปัญญาด้วยการมองการณ์ไกลในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมืองสับสนวุ่นวาย เวลานี้เราอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของความไม่แน่นอน ชีวิตพลเมืองหลายล้านคนในภูมิภาคอาเซียนขึ้นอยู่กับสติปัญญา และมองการณ์ไกลของพวกเรา” นายฮุนเซน กล่าวเปิดประชุม ที่มีผู้นำจากเก้าประเทศสมาชิกประกอบด้วย บรูไน สปป.ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ไทย และเวียดนาม อยู่ในที่ประชุม
นายฮุนเซน ชี้ไปที่เก้าอี้นั่งว่างเปล่าแต่มีธงชาติสหภาพเมียนมา ปักอยู่ข้างหน้าแล้วกล่าว “เพื่อนเราท่านหนึ่งขาดไป”
การจัดที่นั่งเตรียมไว้ให้พร้อมกับธงประจำชาติอยู่ข้างหน้า เป็นการยืนยันโดยปริยายว่าเมียนมายังคงเป็นสมาชิกอาเซียนโดยสมบูรณ์
แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า วาระวิกฤตการเมืองในเมียนมาได้ยกขึ้นมาถกกันอย่างกว้างขวาง และมีความเห็นแตกต่างกันอยู่บ้าง ระหว่างประเทศสมาชิกที่มีชายแดนใกล้ชิดกับเมียนมา กับสมาชิกบางชาติที่อยู่ไกลออกไปซึ่งต้องการให้ลงโทษเมียนมาอย่างรุนแรงถึงขั้นขับออกจากอาเซียน สมาชิกบางประเทศต้องการให้อาเซียนยุติการติดต่อกับรัฐบาลทหารเมียนมาและหันมามีปฏิสัมพันธ์กับรัฐบาลเงา (รัฐบาลสามัคคีแห่งชาติหรือ เอ็นยูจี) ฝ่ายนางออง ซาน ซู จี แทน
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดที่ประชุม ก็มีมติร่วมกันให้ประเทศสหภาพเมียนมา เป็นสมาชิกอาเซียนต่อไปและคงไว้แผนการสันติภาพ หรือ ฉันทามติ5 ข้อ ที่ผู้นำอาเซียนรวมทั้งพลเอกมิน อ่อง หล่ายได้มีมติร่วมในกรุงจาการ์ตา ให้อาเซียนช่วยแก้วิกฤตเมียนมา “แต่มีข้อแม้ว่าให้สำนักงานเลขาธิการอาเซียนร่างแผนสันติภาพคู่ขนานขึ้นมาโดยให้มีกำหนดเวลาและแนวทางให้รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อ” แหล่งข่าวกล่าว “และเสริมว่าในที่ประชุมยังมีมติร่วมกันคือไม่ให้ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาและรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมาเข้าร่วมประชุมอาเซียนเหมือนสองปีที่ผ่านมา แต่สำหรับรัฐมนตรีกระทรวงอื่นๆ และเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของเมียนมาสามารถร่วมกิจกรรมกับอาเซียนได้”
มติของอาเซียนซัมมิตที่ออกมาในท่าทีออมชอมเหมือนเอาใจรัฐบาลทหารเมียนมา สร้างความไม่พอใจให้เอ็นจีโอ และนักการทูตจากประเทศตะวันตก นายแพทริค
พงษ์ธร นักสิทธิมนุษยชนขององค์กรโฟติฟายไรท์โพสต์ในเว็บไซต์ว่า “อาเซียนต้องยอมรับความจริงว่ารัฐบาลทหารเมียนมาขัดขวางฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน รัฐบาลทหารเมียนมาฆ่าฝ่ายต่อต้านการยึดอำนาจตายไปแล้วกว่า 12,000 คน มติจากอาเซียนซัมมิตเหมือนการเอาใจรัฐบาลทหารเมียนมา มติที่ออกมาจึงเหมือนกับให้การฆ่าล้างผลาญยืดเยื้อต่อไป”
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 พ.ย. ประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ แห่งฟิลิปปินส์ได้พบปะหารือกับนายฮุนเซน และเห็นด้วยกับกัมพูชาว่า “อาเซียนจำเป็นต้องอดทน เราทำได้มากกว่านี้ในแง่ของการมีปฏิสัมพันธ์กับเมียนมา”
ด้านรัฐบาลทหารเมียนมาออกแถลงการณ์ว่า “วิกฤตโควิดระบาดและการขัดขวางของกลุ่มต่อต้านติดอาวุธ กลุ่มผู้ก่อการร้ายทำให้การปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนไม่คืบหน้า” ฉันทามติข้อที่หนึ่งของอาเซียนบัญญัติว่า “ให้ทุกฝ่ายในประเทศเมียนมาอดกลั้น ให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรงในทันทีและใช้สันติวิธีในการเจรจาเพื่อหาข้อสรุป”
แต่พรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี ประกาศปฏิวัติประชาชนทั่วประเทศทันทีที่ฉันทามติอาเซียนออกมา ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาและร่วมมือกับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์บางกลุ่มเริ่มปฏิบัติการก่อการร้ายวางระเบิดรายวันและสังหารประชาชนที่สงสัยว่าเป็นสายให้ทหาร จนรัฐบาลต้องปราบปรามและเป็นหน้าที่ของทหารและหน่วยงานมั่นคงที่ต้องรักษาปลอดภัยรักษาความสงบในประเทศ
นักการทูตตะวันตกคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมกล่าวว่า “อาเซียนอาจจะทำแผนสันติภาพคู่ขนานขึ้นมาให้รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิบัติตามแผนสันติภาพมากขึ้น #๔แต่ผมคิดว่ามีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย” เขาทำนายด้วยว่าการประชุมสุดยอดผู้นำในฟอรัมต่างๆที่มีขึ้นในภูมิภาคอาเซียนเจ็ดวันข้างหน้า “จะยากลำบากมากเพราะคาดหมายกันว่า จะมีการถกเถียงกันหนักถึงประเด็นสงครามในประเทศยูเครน เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ และความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ เรื่องความขัดแย้งทะเลจีนใต้ ตลอดถึงเรื่องไต้หวันและเกาหลีเหนือ
ผู้นำกลุ่มประเทศจี 20 ประชุมในบาหลีและประชุมเอเปกในกรุงเทพฯ หลังจากนั้น “ผลลัพธ์ที่ตามมาของประเด็นต่างๆ ในภูมิภาคนี้และทั่วโลกจะมาอยู่บนเวทีเหล่านี้ซึ่งมีความยากมากในการหาข้อยุติ ในประเด็นที่ผู้นำต่างๆ ยกขึ้นมาพูดกัน” นายแดเนียลคริเตนบริงค์ กล่าวกับผู้สื่อข่าว
ด้าน นายเจมส์ แครบทรี ผู้อำนวยการสถาบันศึกษายุทธศาสตร์เอเชียกล่าวว่า การแตกแยกขัดแย้งทางความคิดของชาติสมาชิกในอาเซียนคืออุปสรรคใหญ่ในภูมิภาคนี้ “อาเซียนกำลังพยายามรับมือกับความแตกแยกภายใน และประเด็นอื่นๆ ในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชาซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียนปีนี้หรืออินโดนีเซียเป็นประธานอาเซียนปีหน้าความแตกแยกยังคงดำรงอยู่ และดูเหมือนว่ามันทำให้ความสามารถของกลุ่ม(อาเซียน) มีข้อจำกัดที่จะกดดันรัฐบาลทหารเมียนมาให้ตอบสนองอย่างชาญฉลาดเพื่อเพิ่มอำนาจในการแข่งขันมากขึ้น” นายเจมส์ กล่าวและเสริมว่า
“การแก้ปัญหาวิกฤตในเมียนมาคืบหน้าเพียงเล็กน้อยเนื่องจากว่าอาเซียนซึ่งยึดมั่นมานานเรื่องการไม่แทรกแซงอธิปไตยซึ่งกันและกัน” เขากล่าวด้วยว่าให้เลิกพูดถึงเรื่องตะวันตกคว่ำบาตรหรือขับเมียนมาออกจากอาเซียน ถึงแม้อาเซียนจะประณามเมียนมาเรื่องการประหารชีวิต การปราบปรามฝ่ายต่อต้านที่รุนแรงหรือแม้แต่ประณามเรื่องใช้เครื่องบินรบทิ้งระเบิดใส่คนตายไป 50 คน ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในเมียนมาได้ตราบใดที่ยังมีความขัดแย้งภายใน (อาเซียน)
คอลัมน์นี้เห็นด้วยกับผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์เอเชียเป็นอย่างยิ่งว่า ความขัดแย้งทางผลประโยชน์อุดมการณ์และความแตกต่างทางการทูตในอาเซียนมีมานานแล้วและมันขยายวงกว้างออกไปในประเด็นปัญหาวิกฤตทางการเมืองในเมียนมา ที่มหาอำนาจมีส่วนสำคัญทำให้ความขัดแย้งบานปลายกล่าวคือ เมื่อพลเอกมิน อ่อง หล่าย ยึดอำนาจจากพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี มหาอำนาจตะวันตกนำโดยอเมริกากระโจนเข้ามาแทรกแซงทันทีโดยใช้คัมภีร์ประชาธิปไตยบังหน้าลงโทษเมียนมาโดยการคว่ำบาตรและพยายามก่อสงครามกลางเมืองขึ้นในเมียนมา
ในขณะที่มหาอำนาจตะวันออก คือ จีน ไม่แทรกแซงกิจการภายในของเมียนมา จีนไม่ถือว่าทหารทำการปฏิวัติรัฐประหาร จีนให้คำนิยามเหตุการณ์ในเมียนมาว่าเป็นการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ จีนไม่ประณามเมียนมาและช่วยประคับประคองให้เมียนมากลับสู่แนวทางประชาธิปไตยที่สำคัญจีนมีปฏิสัมพันธ์กับทุกฝ่ายในเมียนมา
ในขณะที่สมาชิกอาเซียนกลุ่มสุวรรณภูมิรวมทั้งประเทศไทยก็มีความเอนเอียงไปทางจีน ในเวลาเดียวกันสมาชิกอาเซียนนอกสุวรรณภูมิเดินตามก้นอเมริกาอย่างไม่ลืมหูลืมตา และความแตกแยกเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อพลเอกมิน อ่อง หล่าย ต้องการให้อดีตรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของไทยเป็นทูตพิเศษอาเซียนในกิจการเมียนมา แต่ถูกอินโดนีเซียขัดขวางโดยการผลักดันนายเอรีวันรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งบรูไน คนที่ 2 เป็นทูตพิเศษอาเซียนแทน
รัฐบาลทหารเมียนมาเลยตอบโต้โดยการไม่ออกวีซ่าให้ นายเอรีวัน กับทูตพิเศษยูเอ็นเข้าประเทศเมียนมา ตั้งแต่นั้นมาสมาชิกอาเซียนนอกสุวรรณภูมิก็โหมโจมตีรัฐบาลทหารเมียนมา คว่ำบาตรรัฐบาลทหารเมียนมาตามก้นอเมริกาแผนสันติภาพหรือฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนจึงไม่คืบหน้าใดๆ
และขณะที่เหตุการณ์ร้ายแรงในเมียนมาที่เกิดจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารและการปราบปรามจากรัฐบาลรุนแรงขึ้น กลุ่มสมาชิกอาเซียนในสุวรรณภูมิที่อยู่ใกล้ชิตติดกับเมียนมาซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์รุนแรงก็ปฏิบัติทางการทูตเงียบ (quiet diplomacy) เพื่อช่วยบรรเทาเหตุร้ายในเมียนมา แต่กลับถูกสมาชิกอาเซียนนอกสุวรรณภูมิกล่าวหาว่าสนับสนุนช่วยเหลือรัฐบาลทหารเมียนมาให้เข่นฆ่าประชาชน
สื่อของรัฐในสิงคโปร์และสื่อในประเทศอินโดนีเซียโหมปั่นกระแสทหารเมียนมาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ฝ่ายต่อต้าน และโจมตีนักธุรกิจพ่อค้าไทยที่ยังทำการค้าขายกับเมียนมา
สื่อสิงคโปร์โจมตีนักธุรกิจไทยทั้งๆ ที่ประเทศสิงคโปร์ลงทุนในเมียนมาเป็นรายใหญ่อันดับสองรองจากจีน สิงคโปร์ ในฉากหน้าทำทีเป็นคว่ำบาตรประณามรัฐบาลทหารเมียนมาตามก้นอเมริกา แต่พอสหรัฐจับได้ว่าเมียนมาทำธุรกรรมการเงินแหล่งใหญ่ที่สุดในประเทศสิงคโปร์ สื่อสิงคโปร์ก็แก้ตัวว่า ธนาคารในสิงคโปร์มีกฎหมายคุ้มครองที่รัฐบาลไม่สามารถตรวจสอบแทรกแซงได้เหมือนกับธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์
ผู้ที่ติดตามข่าวรอบด้านจะพบว่าสื่อสิงคโปร์คือตัวการสำคัญในการปั่นกระแสสงครามกลางเมืองเมียนมา และบ่อยครั้งด่านักธุรกิจและทหารไทยว่าให้การสนับสนุนพลเอกมิน อ่อง หล่าย ดังนั้นอาเซียนจึงไม่มีความชอบธรรมที่โจมตีรัฐบาลทหารเมียนมาว่าไม่ให้ความร่วมมือทำให้แผนสันติภาพอาเซียนไม่คืบหน้า จะดีกว่าถ้าอาเซียนตักน้ำใส่กะโหลกแล้วชะโงกดูหน้าจะพบว่าเพราะความขัดแย้งแตกภายในจึงแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองเมียนมาไม่ได้
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี