การผลิตซ้ำและเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนประวัติศาสตร์ ทำให้เกิดความแตกแยกสร้างความเกลียดชัง
โดยเฉพาะวิธีการทำเป็นการ์ดเกม ปลูกฝังครอบงำความรู้สึกนึกคิดของเยาวชนแบบเนียนๆ
ถือเป็นพฤติกรรมที่ต่ำทรามและน่าละอาย
กลุ่มคนและขบวนการที่ทำและใช้เป็นเครื่องมือ ยากจะอ้างว่ามีเจตนาดีต่อประเทศชาติและประชาชน คงมีแต่หวังจะฉวยโอกาสหากิน-หาผลประโยชน์ จากอารมณ์โกรธเกลียดและความแตกแยกในพื้นที่เปราะบาง นับเป็นคนประเภทที่คบไม่ได้-ใช้ไม่ได้
ฝ่ายใดหลงไปคบหา ก็คงมีแต่จะฉวยโอกาส หรือหักหลังในที่สุด
ประเด็นเกี่ยวกับการ์ดเกมบิดเบือนประวัติศาสตร์ “Patani Colonial Territory” ที่ปรากฏข่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ไปตรวจค้น ตรวจยึด ควรจะต้องดำเนินคดีอาญาเอาผิดกับผู้ผลิต ผู้ให้ทุนสนับสนุนเผยแพร่อย่างเด็ดขาด มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง
คุณจีรวุฒิ บุญรัศมี ได้ชี้ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ ในข้อเขียนว่าด้วยเรื่อง “คณะก้าวหน้า” สนับสนุนการ์ดเกมบิดเบือนประวัติศาสตร์ “Patani Colonial Territory” ล้างสมองเยาวชน ในเพจ ฤๅ ระบุว่า
“..ทุกวันนี้ยังมีความเชื่อที่ผิดๆ ทั้งในความรับรู้ของคนไทยทั่วไป รวมถึงนักวิชาการในกรุงเทพฯ บางท่านว่า “4 อำเภอของสงขลา อันได้แก่ จะนะ เทพา สะบ้าย้อยและนาทวี เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรปัตตานี” โดยความเชื่อดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากโฆษณาชวนเชื่อของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งแต่เดิมนั้นพวกเขาต้องการพื้นที่ของจังหวัดสตูล และตอนบนของสงขลาและพัทลุงด้วย หากแต่แผนการดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากแผนการแทรกซึมกลุ่มจับอาวุธ (ญูแว) เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวเกิดความล้มเหลว ทำให้ขบวนการตัดสินใจปรับลดพื้นที่ในการเคลื่อนไหวลงเหลือเพียงแค่ 4 อำเภอของสงขลาเท่านั้นที่มีการส่งกองกำลังเข้าไปฝังตัวได้สำเร็จ เนื่องจากมีภูมิรัฐศาสตร์ที่ใกล้ชิดกับ 3 จังหวัดชายแดนใต้มากกว่า
ด้วยเหตุดังกล่าว ประชาชนในพื้นที่ 4 อำเภอของสงขลา ทั้งพุทธและอิสลามจึงตกในคราวซวย เพราะต่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าทำไมอยู่ดีๆ บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาที่อาศัยมาอย่างสงบสุขตั้งแต่บรรพบุรุษ จึงถูก “เคลม” ว่าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรปัตตานี (ปตานี) ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์นั้น ไม่มีหลักฐานชั้นต้น หรือกระทั่งโบราณวัตถุใด ๆ มาสนับสนุนความเชื่อนี้เลย…
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 เฟซบุ๊กเพจ “Urban Creature” ซึ่งเป็นเพจแมกกาซีนออนไลน์ในกรุงเทพฯ ได้ลงข้อมูลที่บิดเบือนอย่างมากเกี่ยวกับกรณี 4 อำเภอของสงขลา อันสืบเนื่องมาจากการประชาสัมพันธ์และการสนับสนุน บอร์ดเกม “Patani Colonial Territory” (ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก(กองทุน)คณะก้าวหน้า) ซึ่งเป็นที่เหลือเชื่อว่า บอร์ดเกมบิดเบือนประวัติศาสตร์ดังกล่าว ได้ระบุแผนที่ของอาณาจักรปัตตานีโดยรวม 4 อำเภอของจังหวัดสงขลาเข้าไปด้วย (ดังปรากฏที่กล่องด้านหลัง) ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิดและไม่ตรงกับข้อเท็จจริงใด ๆ
ต่อมา เฟซบุ๊กเพจ “Urban Creature” ได้ทึกทักเอาเองแบบไร้หลักฐานว่า “ปตานีเคยมีพื้นที่ครอบคลุมบางส่วนในบางอำเภอของจังหวัดสงขลา” และการที่เพจนี้มีผู้ติดตามกว่า 4 แสนคน จึงเท่ากับว่า ได้ทำการผลิตซ้ำข้อมูลที่บิดเบือนประวัติศาสตร์
การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผู้เขียนซึ่งเป็นคนในพื้นที่สงขลายอมรับไม่ได้ ทั้งนี้ผู้เขียนคอนเทนต์ของเพจดังกล่าวควรต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เรียบร้อยก่อนที่จะนำเสนอ (ถ้าไม่ทราบก็ควรถาม ยินดีจะตอบ) เพราะการระบุข้อมูลที่ผิดพลาดเช่นนี้ อาจจะทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีภูมิรู้ในเรื่องนี้เกิดความเข้าใจผิดเอาได้
ในบทความนี้ ผู้เขียนจะไม่กล่าวถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ซ้ำอีก เพราะได้เคยนำเสนออย่างที่เรียนไว้เบื้องต้นแล้ว แต่จะกล่าวถึงข้อมูลจากทั้งฝ่ายความมั่นคงฝ่ายประชาชนในพื้นที่ และฝ่ายขบวนการฯ ที่ออกมายอมรับเองว่าพื้นที่ 4อำเภอนั้นไม่เคยข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งทางชาติพันธุ์เช่นที่เกิดใน 3 จังหวัด (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) มาก่อน และเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะการ “จัดตั้ง” ของกลุ่มติดอาวุธ (ญูแว) จากเขตปัตตานีที่ขยายพื้นที่ก่อเหตุ เข้าไปในสงขลาเป็นหลัก
หลักฐานชิ้นแรกเป็นบันทึกความทรงจำของนายแพทย์ท่านหนึ่ง ที่ทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัด ซึ่งเขียนบันทึกขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2548 หรือ 1 ปี หลังจากเหตุการณ์ไม่สงบระลอกใหม่ปะทุขึ้น (พ.ศ. 2547) คุณหมอท่านนี้ระบุอย่างตรงไปตรงมาถึงความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 4 อำเภอของสงขลา ว่า
“…วันนี้มีข่าวลือออกมาว่าคนร้ายจะก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา (หลังจากทางรัฐบาลไม่ได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ดังกล่าว) เพื่อจะทำให้ดูเหมือนว่าพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลาก็มีเหตุการณ์ความไม่สงบเหมือนกัน ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของ จ.สงขลา และ อ.หาดใหญ่ ได้รับผลกระทบเสียหาย…”
อย่างไรก็ดี ข่าวนี้ก็ไม่ใช่ข่าวลือที่ไร้มูลความจริงไปเสียทีเดียว เพราะในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันปรากฏว่า คนร้าย (โจรใต้/ฝ่ายกำลังติดอาวุธ) ได้ก่อเหตุยิงนายมานพ เถี้ยมแก้วครูโรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดในพื้นที่หมู่ 6 ตำบลจะนะ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งควรกล่าวไว้ด้วยว่า แต่เดิมนั้นคนมุสลิมในพื้นที่อำเภอจะนะมีขนบธรรมเนียม ประวัติศาสตร์ และสำเนียงภาษามลายูที่แตกต่างกับคนมุสลิมในพื้นที่ 3 จังหวัดอย่างชัดเจน ดังนั้น การเกิดเหตุขึ้นในพื้นที่อำเภอจะนะจึงเป็นความผิดปกติอย่างชัดเจนในเวลานั้น
จากเหตุการณ์ยิงครูอย่างอุกอาจครั้งนี้ เห็นได้ว่าพวกขบวนการแบ่งแยกดินหาได้ขู่กันเล่น ๆ แต่เอาจริงในการขยายพื้นที่เข้ามาก่อเหตุความไม่สงบ เพื่อให้คนในพื้นที่จังหวัดสงขลาอยู่ไม่เป็นสุข และดูเหมือนจะเป็นการบังคับกลาย ๆ ให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินในพื้นที่ 4 อำเภอของสงขลาด้วย (ซึ่งก่อนหน้านี้ประกาศใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดไปก่อนแล้ว)
ข้อมูลของนายแพทย์ท่านนี้ สอดคล้องกับข้อมูลเชิงสถิติของฝ่ายความมั่นคง (ทหาร) ที่ระบุว่า การเคลื่อนไหวก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดสงขลา เพิ่งปรากฏขึ้นอย่างจริงจังในช่วง 1-2 ปี หลังเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดที่ปะทุขึ้นในปี 2547 ซึ่ง พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ เจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูง ได้บันทึกในปี พ.ศ. 2549 (2 ปีหลังเหตุการณ์ปะทุ) อย่างสั้นๆ และกระชับใจความ ว่า “พื้นที่ของจังหวัดสงขลา ‘เพิ่งเริ่มมีการก่อเหตุร้าย’ เท่านั้น”
น่าสนใจว่า ข้อมูลทั้งจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระดับสูงและบุคลากรทางสาธารณสุข ที่เขียนขึ้นในช่วง พ.ศ. 2548 – 2549 สอดคล้องกับ “คำสารภาพ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน (กลุ่ม BRN) ที่มีการพิมพ์เผยแพร่ผ่านวิทยานิพนธ์ชิ้นหนึ่งในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งระบุข้อมูลที่ชี้ชัดทุกอย่างได้ว่า การก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดสงขลานั้น เป็น “โจรนำเข้า” กล่าวคือ เป็นคนนอกพื้นที่จังหวัดสงขลาที่เข้ามาก่อเหตุดังข้อความตอนหนึ่งว่า
“…BRN มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 กัส คือ กัสปัตตานี กัสยะลา และกัสนราธิวาส โดยกัสปัตตานีนั้นจะรวมเอาพื้นที่ในอำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ในจังหวัดสงขลาไว้ด้วย…”
มิพักต้องสงสัยว่า เมื่อคนในขบวนการแบ่งแยกดินแดน ได้ออกมายอมรับเช่นนี้แล้วว่า พวกเขาเองได้ขยายพื้นที่ก่อเหตุจากปัตตานีเข้าไปในสงขลา ดังนั้น สิ่งที่คนสงขลากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้คือ การที่ “คนนอกกำลังชักศึกเข้าบ้าน” ซึ่งทำให้บ้านของพวกเขาเองนั้น กลายเป็นสุสานฝังศพตนเอง
ความเดือดแค้นคับข้องใจและความหวาดกลัวของชาวสงขลา ต่อกลุ่มขบวนการที่เข้ามาทำร้ายพวกเขา สามารถพิจารณาได้จากการที่ชาวบ้านไทยพุทธที่อาศัยในตำบลเปียนอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ได้ออกมาชุมนุมในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2550 เพื่อเรียกร้องไม่ให้ทางการถอนทหารออกจากพื้นที่หมู่บ้านของตน เพราะกลัวว่าพวกขบวนการ (โจรใต้) จะเข้ามาตลบหลังทำร้าย แม้กระทั่งผู้ใหญ่บ้านท่านหนึ่งในตำบลเปียนอำเภอสะบ้าย้อย (ขอสงวนชื่อและนามสกุล) ยังได้กล่าวอย่างเปิดเผยต่อทางการว่า
“…ชาวบ้านไม่ต้องการให้ทหารพรานและ ตชด. ถอนกำลังออกจากพื้นที่ตามกระแสข่าวที่มีมาก่อนหน้านี้ เราจึงต้องการปืนเอาไว้สู้กับคนร้าย แม้ตอนนี้จะไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใครบ้าง แต่ถ้ารู้ เรื่องร้ายๆ จะได้จบ…”
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าประชาชนคนสงขลา โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ 4 อำเภอ (จะนะ เทพา สะบ้าย้อย และนาทวี) มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ได้อยู่ร่วมกับชาวมุสลิมในพื้นที่อย่างสงบสุขไม่มีปัญหา แต่เมื่อพวกขบวนการแบ่งแยกดินแดน ขยายจัดตั้งเข้ามาในพื้นที่ 4 อำเภอของสงขลาดังกล่าว ทำให้ความสงบสุขที่เคยมีกลับกลายเป็นเสียงแห่งความหวาดกลัวที่อบอวลไปด้วยกลิ่นความตายของชาวบ้านสงขลาผู้บริสุทธิ์ ที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับลัทธิคลั่งประวัติศาสตร์ปัตตานีที่ฝ่ายขบวนการได้บิดเบือนขึ้น และปลูกฝังฝ่ายกองกำลังให้ใช้เป็นเงื่อนไขในการฆ่าคน
ดังนั้น การกระทำใดๆ ที่จะเป็นการทำให้คนสงขลาในพื้นที่ 4 อำเภอต้องได้รับความเจ็บปวดใจ เช่น การบิดเบือนโดยอ้างว่า 4 อำเภอของสงขลาเคยเป็นของปัตตานี ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และข้อมูลแวดล้อมอื่นๆ ระบุแล้วว่าไม่เป็นความจริง
การกระทำดังกล่าวของเฟซบุ๊กเพจ “Urban Creature” และผู้จัดทำบอร์ดเกม “Patani Colonial Territory” (ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากคณะก้าวหน้า)จึงเป็นข้อหาฉกรรจ์ สมควรต้องออกมารับผิดชอบ และขอโทษพี่น้องชาวสงขลา รวมทั้งดำเนินการแก้ไขโพสต์ต้นเหตุและบอร์ดเกมเจ้ากรรมนั้นโดยเร่งด่วนที่สุด มิใช่ปล่อยให้ความผิดพลาดยังคงปรากฏอยู่ แล้วมาทำตัวลอยเหนือปัญหาโดยไม่มีความสำนึกใดๆ”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี