คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเมืองในยุคปัจจุบันนี้มีเรื่องของการใช้ทฤษฎีทางการตลาด มาแปลงเป็นแผนธุรกิจ และใช้สื่อที่เรียกกันว่าออนไลน์ในการแพร่กระจายข่าวสารต่างๆ กันอย่างฟุ่มเฟือย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดของผู้รับทราบหรือรับรู้ ที่มีสติสัมปชัญญะที่ต่างกัน ซึ่งเป็นผลที่จะทำให้เกิดความหลงผิดในข้อมูลที่ถูกโฆษณามานั้น อันเป็นผลเสียต่อสังคมอย่างมาก และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือความหลงผิดที่ถูกแพร่กระจายเหมือนเชื้อไวรัส ที่จะแพร่กระจายรวมทั้งกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว จนเกิดปัญหาต่างๆ มากมาย โดยขอเพียงแค่หาเสียงเท่านั้น อาทิ การนำเสนอในเรื่องของค่าตอบแทนรายวันของผู้ใช้แรงงานในปี 2570 ว่าจะขึ้นไปถึง 600 บาท หรือผู้ที่จบปริญญาตรีจะได้รับเงินเดือนเริ่มต้น 25,000 บาทซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเงินเดือนของภาคราชการหรือเอกชน รวมทั้งการที่บอกว่าค่ารถโดยสารรถไฟฟ้าทั้งหลายจะอยู่ที่ 20 บาทตลอดสายก็ตาม
ไวรัสเป็นเชื้อร้ายชนิดหนึ่งที่เมื่อเกิดขึ้น จะทำให้เกิดโรคและเมื่อมีการระบาดแล้วย่อมจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์หรือสัตว์ต่างๆได้มากมาย ดังเช่นโรคโควิด-19 ที่ยังเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยแต่ทั่วทั้งโลก ทำให้มีผู้คนล้มหายตายจากไปด้วยโรคนี้หลายล้านราย
โดยสัญชาตญาณของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตใดก็ตาม เมื่อถูกคุกคามก็จะต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ ก็เช่นเดียวกับเมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็ได้คิดค้นหาอาวุธที่จะใช้ป้องกันโรคนี้ จึงมีการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่าวัคซีนโควิด-19 ขึ้นมาใช้ ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังมีเพียงแค่ 4 ชนิดหลักคือ วัคซีนจากเชื้อตาย วัคซีนชนิดไวรัลเวกเตอร์ วัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ และวัคซีนที่เรียกว่าเป็นโปรตีนเบส ซึ่งวัคซีนแต่ละชนิดก็มีประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน และที่อาจเป็นประเด็นในแง่เศรษฐศาสตร์ด้วยก็คือราคาของวัคซีน ซึ่งหากมีราคาสูงมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการขาดโอกาสในการเข้าถึงวัคซีนของประชาชนที่อยู่ในประเทศ พี่ด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนา หรือประชาชนในกลุ่มที่มีรายได้น้อยหรือรายได้ปานกลาง เพราะระบบบริหารจัดการด้านสาธารณสุขให้กับประชาชนของแต่ละประเทศยังมีความแตกต่างกันมาก
หลังจากที่ได้มีการระบาดของโรคโควิด-19ไม่นานนัก ในส่วนของประเทศไทยนักวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพในหลายสถาบันก็ได้มีแนวคิดในการที่จะวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 นี้ขึ้นในประเทศเช่นกัน เช่น ศูนย์วิจัยวัคซีนของคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้พัฒนาวัคซีนชนิด mRNAคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งพัฒนาวัคซีนจากใบยา รวมทั้งองค์การเภสัชกรรมเป็นต้น ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีความก้าวหน้าและเชื่อว่าจะประสบผลสำเร็จ สามารถนำมาใช้กับคนไทยและนำเข้าสู่กระบวนการผลิตในเชิงธุรกิจได้
ในส่วนของการพัฒนาวัคซีนของศูนย์วิจัยวัคซีนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น ข้อมูลที่ได้มีการเผยแพร่ออกมา ณ ขณะนี้ทำให้ทราบถึงความคืบหน้าไปเป็นอย่างมาก รวมทั้งที่ได้มีการตีพิมพ์ผลการวิจัยเบื้องต้นของทีมวิจัย ในวารสารระดับนานาชาติที่มีชื่อว่า Nature Microbiology แล้ว รวมทั้งข้อมูลจาก ศาสตราจารย์นายแพทย์เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการโครงการบริหารของศูนย์วิจัยแห่งนี้ ที่ได้วิจัยและพัฒนาวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอที่มีชื่อเรียกว่า ChulaCoV19 ตั้งแต่กลางปี 2020 ซึ่งหลังจากที่ได้ดำเนินการในห้องปฏิบัติการ ด้วยการทดสอบในสัตว์ทดลอง จนได้วัคซีนต้นแบบและนำเข้าสู่การทดสอบในมนุษย์ตามระยะเวลาที่เรียกว่าเฟส (phase) ของการวิจัยซึ่งจะมี 3 เฟส โดยใช้อาสาสมัครชาวไทยจำนวนหนึ่งในการร่วมทดสอบผลของการฉีดวัคซีน ซึ่งผลเบื้องต้นนั้นได้ผลดี มีความปลอดภัยและควรจะดำเนินการต่อได้ จนคาดว่าวัคซีนที่พัฒนานั้นจะนำออกมาใช้ได้จริงภายในกลางปี 2022
แต่ก็ได้เกิด ปัญหาด้านกระบวนการ ที่เกี่ยวข้องกับโรงงานผลิตวัคซีน ซึ่งเดิมอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ตอบมาได้เปลี่ยนมาเป็นโรงงานที่อยู่ในประเทศไทย ที่อาจจะไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดของคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทย จึงทำให้ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการปรับเปลี่ยนในเรื่องของโรงงานผลิต ซึ่งขณะนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นโรงงานในประเทศไทยที่มีศักยภาพเท่าเทียมกัน และก็ได้รับความเห็นชอบให้ดำเนินการต่อไปได้ จนการดำเนินการจบระยะที่เรียกว่าเฟส 1 คือทำการทดสอบในประชาชน กลุ่มอาสาสมัครจำนวนน้อยและได้ผลที่แสดงถึงประสิทธิภาพที่ดีของวัคซีนในการสร้างภูมิคุ้มกัน มีอาการไม่พึงประสงค์น้อย มีความปลอดภัยและเมื่อนำเข้าสู่กระบวนการธุรกิจก็สามารถจะจัดจำหน่ายได้ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ยิ่งต่อการกระจายและนำวัคซีนนี้ไปใช้ ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ในประเทศต่างๆ ที่ประชาชนยังมีรายได้น้อยหรือปานกลางด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษยชาติโดยรวม
ผลการทดสอบวัคซีนที่ขณะนี้ใช้ชื่อว่า ChulaCoV19 ของศูนย์วิจัยดังกล่าวซึ่ง ขณะนี้ได้ถูกตีพิมพ์อย่างเป็นทางการในวารสารระดับนานาชาติชื่อ เนเจอร์ไมโครไบโอโลจี ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2020 อันเป็นวารสารที่เป็นที่ยอมรับกันนั้นโดยสรุปเป็นดังนี้
การทดสอบในเฟสที่ 1 ในมนุษย์ โดยใช้อาสาสมัครแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ กลุ่มละ 36 คน โดยกลุ่มแรกซึ่งเรียกว่า กลุ่มผู้ใหญ่ (Adult) จะมีอายุระหว่าง18-55 ปี ส่วนกลุ่มที่ 2 ซึ่งเรียกว่ากลุ่มผู้สูงวัย (Elderly) จะมีอายุระหว่าง 56- 75 ปี กลุ่มทดสอบทั้ง 2 กลุ่มจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ 12 คน รวมทั้งหมด 6 กลุ่ม ได้รับการฉีดวัคซีน 2 โดสห่างกัน 21 วัน โดยจะฉีดในขนาด 10, 25 และ50 ไมโครกรัมต่อโดส
โดยการศึกษานี้จะเน้นเรื่องของความปลอดภัยและการสร้างภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น ผลการศึกษาในเบื้องต้นพบว่า ผู้ทดสอบทน (tolerated) ต่อการฉีดวัคซีนได้ดีและให้ผลในการสร้างภูมิคุ้มกันโดยไม่ขึ้นอยู่กับอายุทั้ง B- และ T- Cell ได้อย่างดี โดยหลังการฉีดจะมีอาการปวดที่ตำแหน่งฉีดตั้งแต่น้อยจนถึงปานกลาง มีปวดศีรษะ มีไข้ อาการสั่น ปวดกล้ามเนื้อและเมื่อยล้าเกิดขึ้น โดยพบอาการดังกล่าว มากกว่า ภายหลังการฉีดโดสที่ 2 ผู้ทดสอบกลุ่มผู้สูงวัยจะมีอาการไม่พึงประสงค์น้อยกว่า และอาการดังกล่าวในทุกกลุ่มจะหายไปในระยะเวลาเฉลี่ย 2.5 วัน
หลังจากการฉีดโดสที่ 2 ด้วยขนาด 50 ไมโครกรัม เพียง 1 สัปดาห์จะมีการเริ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีปริมาณไม่น้อยกว่าวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ และเมื่อครบ 4 สัปดาห์ ภูมิคุ้มกันที่ถูกสร้างขึ้นมีปริมาณมากกว่ากลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ โดยกลุ่มที่ได้รับวัคซีนขนาด 50 ไมโครกรัม จะสร้างภูมิคุ้มกันได้มากกว่า กลุ่มที่ได้รับวัคซีนขนาด 25 ไมโครกรัมและ 10 ไมโครกรัม พบว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นให้ผลดีในการต่อต้านเชื้อสายพันธุ์ Alpha, Beta, Gamma และ Delta คือมีภูมิคุ้มกันแบบ T-cell ที่ทำหน้าที่คล้ายทหารราบที่เข้ารบปะทะข้าศึก มากกว่ากลุ่มที่ได้รับวัคซีนในขนาดน้อยกว่า และยังสร้างภูมิคุ้มกันแบบ B-cell ที่จะป้องกันการติดเชื้อ เหมือนการป้องกันของทหารอากาศที่ใช้เครื่องบินขึ้นสู้รบกับข้าศึก หรือใช้ปืนต่อสู้อากาศยานป้องกันการเข้าโจมตีของเครื่องบินข้าศึก ได้ดีกว่าด้วย ยกเว้นเชื้อสายพันธุ์ Omicron variant ซึ่งควรจะต้องฉีด 3 เข็ม เพื่อจะให้มีการสร้างภูมิเพียงพอ
ซึ่งเป็นข้อสรุปได้ว่า วัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอที่ถูกพัฒนาโดยเทคนิคที่ต่างจากวัคซีนดั้งเดิมนี้เป็นวัคซีนที่ปลอดภัย และสามารถจะสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี และกำลังจะนำไปทดสอบในเฟสที่ 2 และ 3โดยได้รับความชอบแล้วในอาสาสมัครที่มีจำนวนมากขึ้น โดยทางศูนย์วิจัยฯกำลังรับสมัครอาสาสมัครเข้าร่วมทดสอบ ก็เชื่อว่าจะยังให้ผลยืนยันถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนนี้ได้แน่นอน ซึ่งจะทำให้วัคซีนนี้ได้ถูกนำเข้าสู่กระบวนการผลิตเพื่อนำมาใช้เป็นวัคซีนทางเลือกอีกตัวหนึ่งในอนาคต ซึ่งคาดน่าจะเกิดขึ้นได้ภายในปีหน้าอย่างแน่นอน
อนึ่ง การเก็บรักษาวัคซีนตัวนี้พบว่าสามารถจะเก็บได้ในอุณหภูมิของตู้เย็นปกติคือที่ 2-8 องศาเซลเซียส โดยเก็บไว้ได้นานถึง 3 เดือน ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเพราะวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอชนิดอื่นต้องเก็บรักษาหลังจากกระบวนการผลิตเสร็จสิ้นที่อุณหภูมิประมาณ -20 องศา -70 องศา และเมื่อจะนำออกมาใช้ จะต้องมีการปรับอุณหภูมิเพิ่มขึ้น จนถึง 2-8 องศาเซลเซียส จึงจะใช้งานได้ โดยจะเก็บในอุณหภูมิระดับนี้ได้อีกเพียง 1 เดือนเท่านั้น วัคซีน ChulaCoV19 นี้จึงไม่เป็นปัญหาในกระบวนการเก็บรักษาและการขนส่งเพื่อนำไปใช้ในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งพื้นที่ชนบทห่างไกลด้วย
รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้การสนับสนุนเงินงบประมาณในโครงการวิจัยที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งนี้ เป็นจำนวนเงิน 2,300 ล้านบาท โดยผ่านสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินบริจาคที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กร หน่วยงานต่างๆ และภาคประชาชนประกอบกับความรู้ความสามารถของคณะผู้วิจัย ก็เชื่อมั่นได้ว่าการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19ของศูนย์วิจัยแห่งนี้จะประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นรวมทั้งสามารถจะวิจัยพัฒนาให้วัคซีนที่เกิดขึ้นครอบคลุมเชื้อสายพันธุ์ชนิดต่างๆ และเชื้อที่มีการกลายพันธุ์ได้เป็นอย่างดีด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม เป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยควรจะร่วมแสดงความยินดีและภาคภูมิใจในความสามารถของทีมนักวิจัยไทย ที่ได้ทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อประชาชนและประเทศชาติของเราด้วย
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี