กระแสความรู้สึกของผู้คนชาวไทยที่มีความรักในชาติและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ในขณะนี้นั้น คงจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ประชาชนทุกผู้นามตามที่กล่าวไว้ ได้ร่วมกันสวดมนต์ภาวนา อธิษฐานขอพร จากคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ตลอดจนเทวาอารักษ์ พระสยามเทวาธิราช บุญบารมีของอดีตพระมหากษัตริย์ไทยและอื่นๆ ที่จะมีอยู่ในใจของผู้คน เพื่อให้มาปกป้องคุ้มครองรักษาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ซึ่งเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ หรือที่ประชาชนชาวไทยเรียกพระนามย่อของพระองค์ว่า “พระองค์ภา” อันเนื่องมาจากความรักและเทิดทูนอย่างที่สุด ทรงหายจากพระอาการประชวรกลับมาเป็นปกติ เป็นแก้วตา ดวงใจ มิ่งขวัญของประชาราษฎร์ต่อไป
ถึงแม้ว่าเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตายจะเป็นเรื่องวัฏสงสาร ซึ่งย่อมเกิดขึ้นกับทุกคนแต่ในตลอดช่วงเวลาของการมีชีวิตนั้น เรื่องที่ก่อให้เกิดทุกข์มากที่สุดคือเรื่องของการเจ็บป่วย เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากจะประสบ แต่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ความทุกข์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดเฉพาะกับผู้ที่ป่วยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้ร่วมงานและทุกคนที่มีความสัมพันธ์กันทั้งสิ้น โดยเฉพาะที่เป็นความทุกข์ใจคงจะปฏิเสธไม่ได้ และจะเป็นมากขึ้นเมื่อความสัมพันธ์นั้นได้เกิดขึ้นเป็นระยะเวลายาวนานจนกลายเป็นความรัก และความภักดีที่จะมีให้ต่อกัน
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า “พระองค์ภา” ภายหลังที่ทรงจบการศึกษาทางด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก และได้เสด็จพระดำเนินกลับมาสู่ประเทศไทยแล้วนั้น ได้ทรงปฏิบัติ พระกรณียกิจ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ได้ศึกษามาโดยตรงและด้านอื่นๆ ด้วยพระวิริยอุตสาหะ ประกอบกับพระเมตตากรุณามหาศาลที่มีให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง จนกล่าวได้ว่าพระองค์ภาได้อยู่ในใจของผู้คนชาวไทย อย่างแท้จริง
การรักษาสุขภาพนั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะหากสุขภาพของร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง โอกาสที่จะเป็นโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคติดต่อ เช่น โรคที่เกิดจากเชื้อโรคแบคทีเรีย เช่นอหิวาตกโรค กาฬโรค หรือที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น โรคไข้เลือดออก หรือที่ประชาชนชาวไทยรู้จักกันดียิ่งในขณะนี้คือโรคโควิด-19 หรือโรคอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นโรคไม่ติดต่อเช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคทางสมอง ซึ่งโรคเหล่านี้หากมีสุขภาพดีและได้ตรวจพบรวมทั้งรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก็อาจจะไม่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายได้
แต่โรคที่เกิดขึ้นอย่างฉุกเฉิน และทำให้เกิดอาการวิกฤตนั้น บางอย่างอาจจะป้องกันได้เช่นอุบัติเหตุรุนแรงจากการขับขี่ยานพาหนะที่เกิดการบาดเจ็บทาง สมอง การสวมหมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐาน จะช่วยป้องกันอาการรุนแรงและการเสียชีวิตได้ แต่ก็ยังมีโรคบางอย่างซึ่งเกิดขึ้นอย่างฉุกเฉินโดยมิได้คาดคิดมาก่อน อาทิ โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งแม้แต่ในนักกีฬาหรือผู้มีสุขภาพดีบางครั้งก็เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับโรคเส้นเลือดตีบในสมอง ที่อาจจะเกิดได้แบบทันทีทันควัน แต่หากได้รับการดูแลรักษาที่รวดเร็วก็อาจจะกลับสู่สภาพปกติได้ เช่นเดียวกับกรณีที่มีเลือดออกในสมองอย่างเฉียบพลันไม่ว่าจะจากเหตุใด และยังมีกรณีของการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตอื่นๆ อีก 5-6 กรณีด้วย
การรักษากรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่อาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตนั้น จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง ในเรื่องนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่รับผิดชอบในเรื่องระบบบริการสาธารณสุขซึ่งประกอบไปด้วย การส่งเสริมสุขภาพการป้องกันโรค การรักษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพ ซึ่งครอบคลุมประชาชนชาวไทยมากกว่า 48 ล้านรายอยู่ในขณะนี้ จึงได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของการเข้าถึงการรักษาพยาบาลในกรณีที่มีการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ซึ่งเรื่องนี้ได้รวมถึงประชาชนที่อยู่ในระบบการรักษาพยาบาลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในระบบของประกันสังคมหรือระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการก็ตาม ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่า “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิ์ทุกที่ ไม่มีค่าใช้จ่าย” โดยประชาชนที่เจ็บป่วยในลักษณะดังกล่าว ที่ผ่านเกณฑ์การประเมินของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน จะเข้ารับการรักษาได้ในทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
การเจ็บป่วยที่ถือว่าเป็นเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมี 6 ลักษณะ ดังนี้
หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ
หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดมีเสียงดัง
เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง
ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น หรือมีอาการชักร่วม
แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วน หรือชักต่อเนื่อง
มีอาการอื่นร่วม ที่มีผลต่อการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบสมอง ที่จะเป็นอันตรายต่อชีวิต
ถ้ามีอาการทั้ง 6 ลักษณะนี้เกิดขึ้น ผู้ป่วยต้องได้รับการนำส่งเพื่อการรักษาในสถานพยาบาลอย่างเร่งด่วนที่สุด โดยอาจจะใช้บริการรถพยาบาลของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินได้ ด้วยการติดต่อที่โทรศัพท์สายด่วน หมายเลข 1669 ซึ่งในรถพยาบาลฉุกเฉินนี้จะมีบุคลากรที่ได้รับการอบรมในเรื่องของการช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้นเป็นอย่างน้อย และระหว่างการนำส่งผู้ป่วย จะมีการติดต่อไปยังสถานพยาบาลเพื่อให้มีการเตรียมพร้อม ทั้งในเรื่องบุคลากรและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จะช่วยรักษาชีวิตของผู้ป่วยไว้ล่วงหน้า
แพทย์และพยาบาลตลอดจนเจ้าหน้าที่ประจำห้องฉุกเฉินของทุกโรงพยาบาล จะมีความพร้อมในการให้การบริการตามมาตรฐานทางการแพทย์ ในกรณีที่เกินกว่าศักยภาพ จะมีการประสานในการส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าโดยจะคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยในขณะที่มีการเคลื่อนย้ายเป็นสำคัญ
แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินและเจ้าหน้าที่บางส่วนจะซักประวัติการเจ็บป่วยและตรวจร่างกายของผู้ป่วยทุกระบบ ประเมินอาการ และความรุนแรงทั้งหมด ส่งข้อมูลให้กับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน ที่จะมีแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้เพื่อให้การวินิจฉัยว่า ผู้ป่วยรายนั้นๆ เข้าเกณฑ์ของผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสีแดงหรือไม่
หากเข้าเกณฑ์ การรักษาที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วง 72 ชั่วโมงแรก ผู้ป่วยจะไม่ต้องชำระค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นเมื่ออาการคงที่ จะเข้าสู่ระบบการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลตามสิทธิ์พื้นฐานด้านการรักษาพยาบาลที่มีอยู่ เช่น ถ้าเป็นข้าราชการหรือญาติสายตรงก็เข้ารับการรักษาต่อในโรงพยาบาลของรัฐบาล หากเป็นผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานหรืออยู่ในระบบประกันสังคมก็จะได้รับการส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาต่อในโรงพยาบาลตามสิทธิ์ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ โดยทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแต่อย่างใด ยกเว้นในกรณีที่มีการขอรับบริการเกินกว่าสิทธิ์ เช่นในเรื่องของห้องพักและอื่นๆ ที่ไม่เป็นไปตามระเบียบ
ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะเป็นตัวกลางในการเรียกเก็บจากเงินกองทุนของระบบต่างๆ ตามสังกัดของ
ผู้ป่วย ในกรณีที่เป็นอุบัติเหตุทางจราจร กองทุนที่เกี่ยวข้องก็จะรับผิดชอบ ส่วนผู้ที่มีการประกันชีวิตหรืออุบัติเหตุ บริษัทประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายตามวงเงินที่มีอยู่ หากไม่เพียงพอจึงจะเบิกจ่ายเพิ่มเติมผ่านสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ในกรณีที่ ผู้ป่วยได้รับการประเมินแล้วไม่เข้าเกณฑ์ฉุกเฉินวิกฤตสีแดง ซึ่งหมายความว่าอาการที่เกิดในขณะนั้น ไม่เป็นอันตรายจนเสียชีวิต ผู้ป่วยจะต้องย้ายไปรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิ์โดยอาจจะเบิกค่าใช้จ่ายเบื้องต้นได้บางส่วนเท่านั้น
ทุกชีวิตที่เกิดมานั้นต้องถือว่ามีค่า การรักษาทุกๆ สิ่งที่มีค่าจึงเป็นเรื่องที่จะต้องพึงกระทำเสมอ และหากบุคคลผู้ใดมีโอกาสในการที่จะช่วยเหลือให้ชีวิตที่มีค่านั้นรอดพ้นจากโรคภัยอันตรายต่างๆ ทั้งปวงได้ ก็ถือว่าได้ร่วมสร้างบุญ
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี