การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในแวดวงประชาคมโลกว่าเป็นระบอบที่ดีที่สุด หรือไม่ก็เลวน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับระบอบการเมืองการปกครองแบบอื่นๆ เช่น เผด็จการพรรคเดียว, เผด็จการเสียงข้างมากเป็นใหญ่สุด หรือเผด็จการแบบตัวองค์บุคคลและมีคณะอันน้อยนิด
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นมุ่งเอาประชาชนพลเมืองเป็นตัวตั้ง เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด และเป็นผู้ที่จะต้องได้รับประโยชน์อันสูงสุดจากความเป็นไปในสังคมประเทศนั้นๆ อีกทั้งก็จะมีการบริหารจัดการกันด้วยกฎหมาย กฎเกณฑ์กติกา เพื่อที่จะสร้างความทัดเทียมเสมอภาค และไม่มีการเลือกปฏิบัติ ไม่มีการกระจุกตัวของอำนาจ (เน้นการกระจายอำนาจและหน้าที่รับผิดชอบ) และมีการคานและถ่วงดุลของอำนาจต่อกันและกันที่กระบวนการยุติธรรม และขบวนการสื่อสาธารณะมีความเป็นอิสระ มีความเป็นตัวของตัวเอง และไม่อยู่ในอาณัติหรือเอนเอียงไปกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
ส่งผลให้ประชาชนพลเมืองสามารถดำรงชีวิตด้วยความรู้สึกนึกคิดที่ว่า มีสิทธิเสรีภาพ สามารถแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและรวมพลังกันในการขับเคลื่อนเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม และต่อต้านความไม่ชอบมาพากลต่างๆ ประชาชนพลเมืองจึงมักมีความเบิกบานใจและดำรงชีวิตที่ปราศจากความหวาดกลัว และกดขี่ ข่มขู่และข่มเหงใดๆ ทั้งสิ้น และที่สำคัญการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยยังมีการสลับปรับเปลี่ยนหมุนเวียนระหว่างฝ่ายผู้เข้าครอบครองอำนาจรัฐ และฝ่ายผู้ดำรงตนเป็นฝ่ายค้าน (หรือฝ่ายเสียงข้างน้อย) มีหน้าที่ทักท้วง ท้วงติง และกำกับดูแลความเป็นไปในสังคม
การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจึงมีความยืดหยุ่นในตัวของมันเองในการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์กติกาและวิถีทาง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมและโลกกว้าง ไม่มีความยึดติดและแข็งกระด้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะดำเนินไปด้วยการปรึกษาหารือ ด้วยการอภิปราย และการเสวนาเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาร่วมกัน หรือร่วมกันกำหนดทิศทาง เพื่อให้สังคมก้าวไปข้างหน้าได้
แต่อย่างไรก็ตาม การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนจะต้องมีการตื่นรู้และตื่นตัวอยู่ตลอด จะปล่อยให้เผอเรอหรือหลับไหลไม่ได้ เพราะธรรมชาติมนุษย์มักจะหันเหไปสู่การยึดมั่นติดมั่นในอำนาจนิยม และการหาประโยชน์เข้าตัวและพวกพ้องอยู่เสมอๆ
หากประชาชนเผอเรอบ่อยๆ เข้า เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็มักจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในระบอบประชาธิปไตย และเมื่อเกิดขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องมีการเข้าไปดำเนินการแก้ไขอย่างทันท่วงที ทั้งจะโดยฝ่ายผู้นำทางการเมืองโดยกระบวนการยุติธรรม หรือแม้กระทั่งโดยฝ่ายประชาชนพลเมือง และฝ่ายสื่อที่ห่วงใยบ้านเมืองเป็นสำคัญ ยกตัวอย่างกรณีเมื่อต้นปีที่แล้ว พ.ศ. 2564 ก็ได้เกิดกรณีกลุ่มขวาจัดเข้าไปบุกรุกสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อขัดขวางการประชุมสภาคองเกรสมิให้สามารถลงมติรับรองผลการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งนายโจ ไบเดน มีชัยชนะเหนือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ดังที่ทราบกันดีอยู่ จนเกิดเป็นความวุ่นวายทั่วประเทศสหรัฐฯ อยู่ช่วงหนึ่ง
ขณะที่ยุโรปในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดเคยคาดคิดว่าจะเกิดความวุ่นวายและสับสนเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ อันได้แก่กรณีการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือการรับสินบนของสมาชิกรัฐสภาแห่งสหภาพยุโรป โดยสมาชิกรัฐสภายุโรป 5-6 คน ถูกประกาศว่ากระทำความผิด โดยหนึ่งในจำนวนนั้นมีสมาชิกรัฐสภาสหภาพยุโรปที่มีตำแหน่งเป็นรองประธานรัฐสภายุโรปด้วย โดยฝ่ายรัฐบาลกาตาร์ (ซึ่งเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกในปีนี้) ได้ทำการติดสินบนบรรดาสมาชิกรัฐสภายุโรปเหล่านี้เพื่อให้พูดจาอภิปรายในรัฐสภายุโรปในเชิงที่เป็นคุณแก่รัฐบาลกาตาร์ ที่ถูกชาวโลกและโดยเฉพาะภาคประชาสังคมกล่าวหาและตำหนิติเตียนว่า ช่างไร้มนุษยธรรมอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติต่อแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนหลายๆ หมื่นคนที่เข้าไปทำงานในกิจการก่อสร้างสนามกีฬาต่างๆ เพื่อใช้ในการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก โดยบรรดาสมาชิกรัฐสภายุโรปดังกล่าวได้ถูกตำรวจของประเทศเบลเยียมจับกุมตัวตั้งข้อหาและอายัดทรัพย์สินเงินทองต่างๆ เป็นเรื่องอื้อฉาว และเป็นที่อับอายขายหน้าให้กับเกียรติภูมิของรัฐสภาสหภาพยุโรป และสหภาพยุโรปเป็นการทั่วไปที่มีความภูมิอกภูมิใจมาโดยตลอดว่าตนนั้นเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบ มีความสำเร็จในเรื่องธรรมาภิบาล และเข้มงวดกวดขันกับเรื่องการ
ทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นอย่างมาก ซึ่งทั้งหมดนี้ก็สะท้อนได้ว่า แวดวงรัฐสภาสหภาพยุโรปมีความเผอเรอ ไม่สอดส่องดูแลตัวเองอย่างลึกซึ้ง จริงจัง และกว้างขวาง จนเรื่องต้องไปถึงมือของฝ่ายตำรวจประเทศเบลเยียม
อีกกรณีหนึ่งในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันก็คือ ข่าวคราวเกี่ยวกับการที่ตำรวจเยอรมนีได้เข้าจับกุมและกวาดล้างขบวนการการเมืองชาตินิยมขวาจัดแบบสุดโต่ง (ในทำนองลัทธิ Fascist ของอดีตผู้นำเยอรมนี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์) ซึ่งมีเป้าประสงค์ที่จะล้มล้างระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยของเยอรมนี และนำเอาระบอบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการ Fascist เข้ามาเป็นแบบฉบับของเยอรมนี ทั้งนี้กฎหมายรัฐธรรมนูญของเยอรมนี ที่เรียกว่ากฎหมายพื้นฐาน (Basic law) นั้น ได้ระบุไว้อย่างแน่ชัดว่า เยอรมนีจะปกครองกันด้วยระบอบประชาธิปไตย และห้ามมิให้ผู้ใดล้มล้างระบอบประชาธิปไตยนี้ และการกระทำใดๆ ที่จะล้มล้างระบอบประชาธิปไตยถือว่าเป็นความอาญาที่มหันต์ร้ายแรงเป็นที่สุด ซึ่งก็ต้องชมเชยฝ่ายความมั่นคงและตำรวจของเยอรมนีที่ได้เข้าดำเนินการได้ทันท่วงที ไม่ปล่อยให้เรื่องราวสามารถแพร่ขยาย ลุกลาม ต่อไปอีกได้
ในขณะเดียวกัน อิตาลีก็ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นสุภาพสตรี ที่เป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายชาตินิยมขวาจัด เพิ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปในระบอบประชาธิปไตยเมื่อไม่นานมานี้ โดยงานชิ้นแรกๆ ก็คือ การไม่อนุญาตให้เรือที่บรรทุกผู้อพยพลี้ภัยจากทวีปแอฟริกาเทียบท่า ที่ท่าเรือแห่งหนึ่งของอิตาลี ทั้งๆ ที่มีการเรียกร้อง ร้องขอจากทั่วสารทิศของประชาคมโลก จนในที่สุด รัฐบาลฝรั่งเศสต้องออกมารับผิดชอบแทน โดยการรับเรือลำนี้ให้ไปขึ้นที่ท่าเรือของฝรั่งเศสแทน ก่อให้เกิดความบาดหมางใจกันระหว่างรัฐบาลอิตาลี และรัฐบาลฝรั่งเศส ที่สะท้อนส่วนลึกของความแตกต่างในการเป็นสังคมประชาธิปไตย และความโอบอ้อมอารีของเพื่อนมนุษย์ต่อกันและกัน
ในภาพกว้างฝ่ายชาตินิยมขวาจัดในหลายๆ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ก็เริ่มตีตื้นขึ้นมาในสถานะและคะแนนนิยมทางการเมือง สะท้อนว่าสหภาพยุโรปและยุโรปโดยทั่วไปนั้นกำลังเอนเอียงไปทางด้านอุดมการณ์ชาตินิยมขวาจัด ที่ใช้ฐานและกรอบการแข่งขันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เป็นวิถีทางที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐ และเมื่อได้อำนาจรัฐแล้ว ก็จะมีทีท่าว่าจะดำเนินนโยบายและมาตรการที่เอาเรื่องชาตินิยมเป็นตัวตั้ง และลดความเป็นสากลของการร่วมมือกันระหว่างประเทศ ในการร่วมมือกันในเรื่องความเหลื่อมล้ำ ในเรื่องความยากจน ในเรื่องผู้อพยพลี้ภัย และในเรื่องการไม่กีดกันและเหยียดหยามซึ่งกันและกัน ทั้งในเรื่องการนับถือศาสนา และการมีสีผิว เป็นต้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นประชาชนพลเมืองของยุโรปก็ต้องมีการตื่นรู้ ตื่นใจ ที่จะไม่ให้สังคมของประเทศของตน และสังคมของสหภาพยุโรป และยุโรปโดยรวม ตกไปอยู่ภายใต้ลัทธิการคลั่งชาตินิยม เพราะนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการสั่นคลอน และบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย และสร้างความขัดแย้ง และการเผชิญหน้ากันในที่สุด
ในขณะเดียวกัน ทางฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะพรรคการเมืองที่ฝักใฝ่หรืออ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยนั้น ก็ต้องยืนหยัดกับอุดมการณ์ประชาธิปไตย และต่อสู้ เพื่อมิให้สังคมตกไปอยู่ในสภาวะเผอเรอ หรือโอนอ่อนและท้อแท้ไปกับแนวคิดและขบวนการอำนาจนิยมต่างๆ มิเช่นนั้นแล้วเราคงได้เห็นโลกที่เบื่อหน่ายความเป็นประชาธิปไตย แล้วเริ่มจะหันไปเห็นดีเห็นงามกับระบอบเผด็จการ ที่ไม่ได้ส่งผลดีต่อสิทธิเสรีภาพของพลเมืองเลยเป็นแน่
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี