ตามปกติวิสัยของสังคมมนุษย์ย่อมมีสองด้านเสมอคือด้านบวกกับลบ หรือเห็นด้วยกับเห็นต่าง ขึ้นอยู่กับว่าผู้มอง มองจากด้านใด มีผลประโยชน์ในเรื่องนั้นๆ มากน้อยเพียงใด เพราะฉะนั้น เวลาฟังความเห็นใดๆจากใครก็ตาม ก็ต้องมองให้ลึกก่อนว่าผู้ให้ความเห็นเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากน้อยเพียงใด ในเรื่องที่เขาเหล่านั้นออกความเห็น
ไม่เคยปรากฏว่าผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในเรื่องใดๆ จะให้ความเห็นในเรื่องนั้นๆ โดยปราศจากอคติหรือลำเอียง เพราะไม่มีใครต้องการสูญเสียผลประโยชน์ส่วนตัว ยิ่งตนเองมีผลประโยชน์ในเรื่องนั้นๆ มากเพียงใด ก็จะพบตลอดเวลาว่าเขาต้องหวงแหนผลประโยชน์ส่วนตัวไว้ให้มากและนานที่สุด แต่ถ้าเขาอยู่ในฝั่งผู้สูญเสียผลประโยชน์ เขาก็ต้องพยายามเรียกร้องผลประโยชน์ให้ตัวเองให้มากที่สุด โดยอ้างว่าตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ขณะเดียวกันก็จะพบว่าฝ่ายได้เปรียบไม่เคยแสดงให้เห็นว่าจะลดความได้เปรียบลงแม้แต่น้อย
ประเด็นการเก็บภาษีขายหุ้นก็เช่นกัน เรื่องนี้ต้องดูว่าผู้ให้ความเห็นมองจากมุมไหน สวมหมวกใบใด ได้หรือเสียผลประโยชน์จากการเก็บภาษีขายหุ้น แล้วก็แน่นอนว่าคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจซื้อขายหุ้นย่อมต้องบอกว่าธุรกิจของตนเองมีคุณค่า และทำความเจริญให้กับประเทศอย่างมากมายอเนกอนันต์ พร้อมกับบอกว่า การเก็บภาษีขายหุ้นจะทำให้เกิดความซบเซาในกิจการตลาดหุ้น เหตุที่เขาต้องบอกเช่นนั้น เพราะเขาสูญเสียผลประโยชน์ที่เคยได้รับมาก่อน
หากมองในมุมของคนที่ต้องการเก็บภาษีขายหุ้นก็เข้าใจได้โดยทันทีว่า เพราะเขาต้องการเงินเพื่อนำไปใช้บริหารประเทศ โดยเฉพาะในยามที่เขาจ่ายแจกเงินสารพัดสารพันรูปแบบเพื่อแสวงหาคะแนนนิยมทางการเมือง เมื่อหว่านแจกเงินอย่างเมามันจนเกือบจะกลายเป็นไม่ลืมหูลืมตา ก็ทำให้ต้องหาเงินไปโปะหนี้สินจำนวนมากมายมหาศาลที่ตนเองก่อไว้ แต่ถึงกระนั้นผู้ก่อหนี้มหาศาลก็ยังคงอ้างว่าเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตต่อไป
ข้ออ้างประการหนึ่งของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีซื้อขายหุ้นก็คือ ในปีหน้า (พ.ศ. 2566/ค.ศ. 2023) โลกจะเผชิญสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ และมองว่าหลายประเทศจะประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอย แล้วก็ยกเหตุผลต่างๆ ประกอบ เช่น เงินเฟ้อมีอัตราสูงข้าวของมีราคาแพง คนมากมายจะประสบปัญหาตกงาน การผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะลดจำนวนลงฯลฯ แล้วก็สรุปว่า เพราะฉะนั้น ไม่ควรเก็บภาษีซื้อหุ้นเพราะจะทำให้เสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยจางหายไปนักลงทุนต่างชาติจะไม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย แล้วก็บอกว่าปีหน้านี้ ยังไม่เหมาะกับการเก็บภาษีขายหุ้น
คำถามก็คือ แล้วช่วงเวลาใดจึงจะเหมาะสมกับการเก็บภาษีขายหุ้นในตลาดหุ้นของไทย เพราะที่ผ่านมาในช่วงที่ตลาดหุ้นเฟื่องฟูมากๆ ก็ไม่มีการเก็บภาษีขายหุ้นครั้นในช่วงสภาพเศรษฐกิจน่าเป็นห่วง ตลาดหุ้นดูเสมือนว่าอาจจะซบเซา ก็บอกว่าไม่ควรเก็บภาษีขายหุ้นในช่วงนี้คำถามที่ต้องถามซ้ำคือ แล้วจะมีการเก็บภาษีขายหุ้นในตลาดหุ้นไทยหรือไม่
สิ่งที่ต้องทราบก่อนก็คือ ตลาดหุ้นบนโลกของเรานั้น มีบางตลาดไม่เก็บภาษีขายหุ้น แต่ก็บางตลาดที่เก็บภาษีนี้ ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องคำนึงก็คือ การเก็บหรือไม่เก็บภาษีขายหุ้น สิ่งใดจะให้ผลดีโดยรวมต่อระบบเศรษฐกิจมากที่สุด ส่วนข้อกังวลว่าเมื่อเก็บภาษีขายหุ้นแล้วจะทำให้เสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยจางหายไปนั้นก็ต้องถามกลับว่า หากนักลงทุนในตลาดหุ้นเขาคำนวณแล้วเห็นชัดว่า เขายังมีกำไรในการซื้อขายหุ้นในเมืองไทยเขาก็ยังคงลงทุนซื้อขายต่อไป แต่หากเขาคำนวณแล้วเห็นว่าเขาไม่มีกำไร เขาก็ต้องไปแสวงหากำไรจากแหล่งอื่นๆ ที่ให้ผลประโยชน์กับเขาได้ ขอย้ำว่าเขามีสิทธิ์เลือกลงทุนในแหล่งที่เขาได้กำไรสูงสุด แต่สิ่งที่ต้องย้ำ ณ ตรงนี้คือ ตลาดหุ้นหลายแห่งเก็บภาษีขายหุ้นเช่น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรปตะวันตกดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าประเทศไทยเก็บภาษีขายหุ้นเพียงประเทศเดียว
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าการสร้างความเป็นธรรมในระบบจัดเก็บภาษีเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐบาลต้องทำโดยด่วน เพราะประเทศไทยคือประเทศหนึ่งที่ถูกมองว่าระบบภาษีไม่เป็นธรรม แต่สำหรับการที่คนบางกลุ่มที่ชอบเรียกตัวเองว่านักวิชาการ (แต่ทว่าไร้งานวิชาการคุณภาพ) ให้ข่าวเพื่อเพิ่มความดังให้ตัวเองว่า รัฐบาลต้องกระจายความมั่งคั่งให้เป็นธรรม โดยต้องเก็บภาษีขายหุ้น หรือภาษี Capital Gain Tax โดยบอกว่าหากเก็บภาษีนี้แล้วทำให้ตลาดหุ้นไทยซบเซาเหงาหงอยก็ให้ยกเลิกการเก็บภาษีดังกล่าว
ก็ต้องบอกตรงๆ ว่าข้อเสนอประหลาดๆ ทำนองอุบาทว์ดังกล่าวนั้น เป็นข้อเสนอที่ไร้สาระมากที่สุด หากรัฐบาลเชื่อคำเสนอง่อยๆ ของ
นักวิชาการอยากดังแล้วละก็ รับรองว่าจะกลายเป็นรัฐบาลไม้หลักปักขี้เลนอย่างแน่นอน อย่าลืมว่านโยบายสาธารณะต้องมีความมั่นคงจริงจังในระดับหนึ่ง หากไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ก็ไม่จำเป็นต้องทุรนทุรายออกนโยบายนั้น การออกนโยบายสาธารณะแบบชักเข้าชักออก แสดงให้เห็นถึงความไร้สติสิ้นปัญญาของผู้ออกนโยบาย ซึ่งรัฐบาลที่มีปัญญาไม่พึงกระทำเป็นอย่างยิ่ง เรื่องชักเข้าชักออกนั้น ปล่อยให้เป็นเรื่องของนักวิชาการอยากดังไปเถอะ เพราะมันคือพฤติกรรมส่วนตัวของนักวิชาการไร้ปัญญาโดยแท้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี