โลก ณ วันนี้ มี 2 ประเทศที่กำลังอื้อฉาวและโด่งดังคือ จีน กับอิหร่าน ซึ่งต่างก็มีพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือการใช้อำนาจเผด็จการกดขี่ประชาชนอย่างเข้มงวดกวดขัน ทำตนเป็นอาณาจักรแห่งความกลัว ที่มุ่งให้ประชาชนเชื่อฟัง และรับคำสั่งแต่เพียงอย่างเดียว มุ่งเน้นการดำเนินการต่างๆ ที่จะทำให้ประชาชนพลเมืองไม่กล้าหือและไม่กล้าโงหัว ด้วยอำนาจรัฐที่แสนจะกว้างใหญ่ไพศาล แทรกซึมเข้าไปในทุกอณูหรือตารางนิ้วของบ้านเมือง ใครผู้ใดที่ไม่เคยมีชีวิตอยู่ภายใต้การเมืองการปกครองแบบเผด็จการนี้ ก็คงจะไม่สามารถหยั่งรู้
ซึ่งความน่าสะพรึงกลัว ความหวาดระแวงในชีวิตประจำวัน และการสูญเสียซึ่งศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ ซึ่งในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ยังพอจะรับรู้ซึ่งความเป็นไปและแสดงความห่วงใย และแสดงความหวังว่า วันหนึ่งวันใดเขาเหล่านั้นก็จะได้ปลดแอกจากการจองจำต่างๆ เหล่านี้
ทั้งในจีนและอิหร่าน แม้ว่าจะมีอำนาจเผด็จการค้ำคอ และครอบงำอยู่ แต่ด้วยปกติของมนุษย์เรานั้น ถึงจุดหนึ่งก็อดที่จะมีอารยะขัดขืนไม่ได้ เพราะเป็นธรรมชาติมนุษย์เมื่อถูกกดก็ต้องมีการต่อต้านได้บ้าง (Repression and resistance) โลกก็จะได้ยินได้ฟังข่าวคราวเกี่ยวกับการประท้วงทั้งในจีน และอิหร่านมาโดยตลอดหลายสิบปี แต่ก็มักจะเป็นเรื่องเฉพาะกิจ เป็นครั้งคราวในระยะเวลาอันสั้นๆ แล้วก็จืดจางหายไป เรื่องประท้วงต่างๆ มักจะเกี่ยวกับความไม่พึงพอใจของประชาชนพลเมืองต่อพฤติกรรมและการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ปกครอง และเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นที่ไม่ยุติธรรมและไม่โปร่งใส เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็จะมีข่าวคราวว่าได้รับการแก้ไขโดยฝ่ายรัฐบาลกลางที่เข้าไปสั่งการยุติปัญหา
แต่ทว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ กลับมีการประท้วงในระดับชาติ ทั้งในประเทศจีนและอิหร่าน ชนิดอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดคาดการณ์มาก่อน เนื่องจากอำนาจเผด็จการรัฐที่แสนจะเข้มแข็งเข้มข้น ทำให้การประสานรวมตัวกันของฝ่ายประชาชนพลเมืองไม่ใช่เรื่องที่จะกระทำกันได้ง่ายๆ
ในกรณีอิหร่าน เรียกว่าเป็นเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียวคือ สตรีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองวัยหนุ่มสาวจากชนกลุ่มน้อย
ชาติพันธุ์เคิร์ดสได้ถูกตำรวจศาสนา (Religious Police) จับกุมและคุมขังในข้อหาการโพกผ้าคลุมศีรษะที่ไม่ถูกต้อง แต่เธอกลับเสียชีวิตในที่คุมขังหลังจากถูกจับกุมไม่นาน โดยที่ทางฝ่ายทางการไม่สามารถให้หรือชี้แจงข้อเท็จจริงได้ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้จากประชาชนพลเมือง จนแพร่กระจายไปทั่วประเทศอิหร่าน ทำให้มีการออกมาประท้วงกันในหลายๆ เมือง และเช่นเคย ฝ่ายรัฐก็เลือกแก้ปัญหาด้วยการปราบปราม และใช้ความรุนแรง จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนหลายร้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้การประท้วงลดละลง จนในที่สุดฝ่ายภาครัฐต้องหันมาเริ่มพิจารณาปรับปรุงนโยบายท่าทีและมาตรการ เพราะการประท้วงมิได้จำกัดวงอยู่ที่แค่เรื่องการสูญเสียชีวิตของสตรีดังกล่าวเพียงเรื่องเดียว หากแต่ขยายประเด็นบานปลายไปถึงการเคลื่อนไหวเพื่อจะล้มล้างรัฐบาลศาสนานิยม และเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย จนถึงต้องยุบบทบาทตำรวจศาสนาลงเพื่อลดอุณหภูมิการประท้วง
หันไปที่ประเทศจีนที่มีนโยบาย รวมทั้งมาตรการการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 แบบแพ้-ชนะเด็ดขาด คือจะขจัดโรคโควิด-19 ให้ได้ด้วยวิธีปิดบ้านปิดเมือง และห้ามผู้คนเดินทางออกจากบ้านพักของตนเอง ซึ่งเป็นการแปลงสภาพที่พักส่วนตัวให้เป็นเสมือนกรงขัง โดยไม่คำนึงถึงความสะดวกสบายขั้นพื้นฐานแต่อย่างใดรวมทั้งไม่คำนึงถึงซึ่งสภาวะจิตใจที่จำเป็นต้องอยู่ในที่คับแคบ ขยับเขยื้อนไปไหนมาไหนไม่ได้ และแล้วถึงจุดหนึ่ง ประชาชนพลเมืองจีนก็ทนไม่ได้เมื่อมีเหตุการณ์เพลิงไหม้อาคารแห่งหนึ่งที่เมืองหนึ่ง และรถดับเพลิงและการกู้ภัยก็ดำเนินการไปได้อย่างกระท่อนกระแท่น เพราะผู้คนและเจ้าพนักงานไม่สามารถร่วมมือดับเพลิงและกู้ภัยกันได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะถูกจำกัดด้วยกฎเหล็กของการต่อต้านโรคระบาดโควิด-19 ดังกล่าว ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นชนวนที่นำไปสู่การประท้วงอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ จนในที่สุดฝ่ายรัฐบาลจีนและพรรคคอมมิวนิสต์ก็ต้องรีบขยับตัวหันมาโอนอ่อนผ่อนคลายมาตรการ โดยเฉพาะการอนุญาตให้ประชาชนพลเมืองเริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอย และทำกิจการงานได้บ้าง
เหตุการณ์ประท้วงในระดับชาติทั้งในประเทศจีน และอิหร่านนั้น เป็นการสะท้อนสัญชาตญาณและจิตสำนึกของผู้คนว่าพร้อมที่เอาชีวิตเข้าแลก ถ้าความอดทนอดกลั้นมันถึงที่สุดแล้ว และในขณะเดียวกันเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้สร้างความตระหนักให้กับทั้งผู้นำจีนและผู้นำอิหร่านว่า อำนาจเผด็จการที่เต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหง การสร้างอาณาจักรแห่งความหวาดกลัวนั้นสามารถจะดำเนินไปอย่างสุดโต่งได้แค่เพียงระยะหนึ่ง เพราะเหนือกว่านั้นก็คือ ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และน้ำจิตน้ำใจของปวงชนที่ใฝ่หาสิทธิเสรีภาพ และรังเกียจเดียดฉันท์อำนาจมืดอำนาจสว่างที่ไร้คุณธรรม ไร้มนุษยธรรม และไร้เหตุและผล เนื่องจากมนุษย์นั้นไม่ว่าผู้ใด ก็พร้อมที่จะอยู่กับความถูกต้อง และความเป็นคนอันประเสริฐ
อำนาจนิยมแบบเทวะนิยมของอิหร่าน เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) จนบัดนี้ก็มีอายุครบกว่า 40 ปีแล้ว แต่เมื่อวันนี้ต้องมาเผชิญกับการประท้วงทั่วประเทศดังกล่าว ก็สะท้อนให้เห็นว่าระบบระบอบนี้ใช้การอีกไม่ได้แล้ว ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย และความนึกคิดของชนรุ่นใหม่ที่ต้องการเสรีภาพ ส่วนในประเทศจีนก็ไม่ได้ต่างกัน ซึ่งแม้หลังจากการปราบปรามอย่างรุนแรงในปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) ของฝ่ายรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อคนหนุ่มสาวจีนในขณะนั้นที่เรียกร้องประชาธิปไตย จีนก็ได้เติบโตทางด้านเศรษฐกิจ ขจัดความยากจน และเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหาร และขยายอิทธิพลไปทั่วโลกจนเป็นที่กล่าวขวัญ ชื่นชมอย่างน่าเกรงขาม แต่จากการเกิดการประท้วงทั่วประเทศจีนดังกล่าว ก็บ่งบอกว่าระบอบเผด็จการพรรคเดียวนั้น ไม่สอดคล้องกับส่วนลึกในหัวใจของประชาชนพลเมือง ที่ต้องการปลดแอกจากสภาพแวดล้อมของอำนาจนิยมและการกดขี่ และมุ่งประสงค์ที่จะมีชีวิตเยี่ยงชนเสรี ก็เป็นเรื่องที่ทั้งชาวโลกและชาวจีนได้เริ่มตั้งคำถามว่า แล้วระบอบคอมมิวนิสต์พรรคเดียวนำพานั้น จะไปได้อีกนานเท่าใด เพราะเชื้อของการต่อต้านได้เริ่มขึ้นแล้ว อีกทั้งจีนเกาะไต้หวันก็ได้แสดงตัวให้เห็นว่า สังคมประชาธิปไตยนั้น ก็นำความเจริญก้าวหน้าให้ได้โดยไม่ต้องมีการพึ่งพา หรืออยู่ในอาณัติของพรรคเดียวเป็นเผด็จการ
เหตุการณ์การประท้วงใหญ่ทั้งที่จีนและอิหร่าน ถือเป็นการเตือนสติผู้นำแบบเผด็จการของประเทศต่างๆ ว่า อำนาจนิยมนั้นไม่จีรังยั่งยืน เพราะในที่สุดประชาชนพลเมืองจะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เมื่อโอกาสอำนวย ฉะนั้นอำนาจเผด็จการจึงเป็นเรื่องเลื่อนลอย ภายใต้เผด็จการนั้นก็คือความต่อต้านด้วยความคิด ด้วยจิตใจ และด้วยการเคลื่อนไหวทางกายภาพต่างๆ ในที่สุด ก็ควรที่จะได้พิจารณาเริ่มผ่องถ่ายอำนาจในมือของตนไปสู่ประชาชน ก่อนที่ความอดทนของประชาชนนั้นหมดไป แล้วระเบิดกลายเป็นสงครามกลางเมืองเพื่อโค่นล้มผู้นำเผด็จการแบบที่เคยเกิดขึ้นมาเสมอๆ ในประวัติศาสตร์โลก เมื่อนั้นนอกจากชีวิตของบรรดาผู้นำจะเป็นภัยแล้ว ความบอบช้ำของสังคมที่จะต้องเยียวยากันอีกนาน ก็จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี