การมอมเมาให้ประชาชนกลายเป็นคนมืออ่อนตีนอ่อนง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่สามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ต้องอาศัยจมูกคนอื่นหายใจตลอดเวลา คือกลอุบายหนึ่งที่นักการเมืองจำพวกเลวชาติใช้เพื่อหาเสียงทางการเมืองมาโดยตลอด
นักการเมืองจำพวกเลวชาติไม่ต้องการให้ประชาชนมีความเข้มแข็ง ไม่ต้องการเห็นประชาชนช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ต้องการให้ประชาชนกลายเป็นเสมือนสัตว์เลี้ยงที่ต้องรอคอยรอรับความเมตตาจากนักการเมืองโดยพยายามทำให้ประชาชนเคยชินกับการได้รับของแจกสารพัดชนิด เช่น เงิน ของใช้ รวมถึงการจงใจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดๆ ว่ารัฐบาลที่ดีต้องแจกเงินให้ประชาชนตลอดเวลา
นักการเมืองจำพวกเลวชาติต้องการเข้าไปมีอำนาจรัฐให้ได้ เพราะรู้ดีว่าเมื่อยึดครองอำนาจรัฐได้แล้ว สามารถใช้อำนาจรัฐกอบโกยโกงกินทรัพยากรทั้งหมดของแผ่นดินเข้าพกเข้าห่อของตนเองและพวกพ้องได้อย่างสะดวกสบาย เพราะว่าไม่มีอำนาจใดต่อต้านขัดขวางอำนาจรัฐที่พวกเขายึดกุมอยู่ได้
ดังนั้นการลงทุนทางการเมือง ด้วยการหว่านและแจกเงิน รวมถึงการแจกข้าวของสารพัด ตั้งแต่ขันน้ำพลาสติกที่ติดชื่อนักการเมือง ไปจนถึงการแจกเงินโดยผ่านกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ซึ่งปรากฏชัดในโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน จนกระทั่งการพยายามซื้อเสียงด้วยการบอกกับผู้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาว่าไม่ต้องเสียดอกเบี้ยไม่เสียค่าปรับ และไม่จำเป็นต้องคืนเงินที่กู้ยืมไป
นอกจากนี้ ยังมีโครงการซื้อเสียงโดยผ่านนโยบายรัฐอีกสารพัดโครงการ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำโดยแท้ เช่น กองทุน SML รวมถึงคำสัญญาต่างๆ นานา จากลมปากของนักการเมือง ซึ่งส่วนมากแล้วก็เป็นเพียงลมลวงเท่านั้น เพราะพล่ามออกไปแล้ว แต่ไม่เคยทำได้จริงตามที่พูด
กระบวนการและกรรมวิธีการซื้อเสียงเพื่อให้ได้คะแนนการเมืองมีหลากหลายรูปแบบ ทั้ง แจกเงินโดยตรง แจกสิ่งของต่างๆ สัญญาว่าจะให้ และในระยะหลังๆ มีการใช้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวนหนึ่งเป็นเครื่องมือในการซื้อเสียง เพราะ อสม. จะดูแลครัวเรือนในหมู่บ้านประมาณ 7-10 ครัวเรือนต่อคน ทำให้รู้ตื้นลึกหนาบางของคนในครัวเรือนที่ อสม. ดูแลได้เป็นอย่างดี
จากผลวิจัยเรื่องการทุจริตซื้อเสียง ที่ปรากฏในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครองจากหลายมหาวิทยาลัย มีข้อมูลเรื่องหนึ่งที่ตรงกันคือ ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยบอกว่าตนเองรอดตายจากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค บางคนบอกว่าต้องการได้เงินจากโครงการกองทุนหมู่บ้าน บางรายบอกว่าต้องการได้เงินกู้ยืมเพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือต่อในระดับมัธยมใจตัวอำเภอหรือตัวจังหวัด
นอกจากนั้น นักการเมืองยังได้จัดระบบหัวคะแนนให้มีประสิทธิภาพในการซื้อเสียงได้อย่างแม่นยำสูงสุด โดยการตั้งหัวคะแนนผ่านระบบการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งพบว่านักการเมืองระดับชาติ (สส.) มีสายสนกลในโยงใยกับนักการเมืองระดับท้องถิ่น ซึ่งเท่ากับสร้างฐานเสียงในระดับท้องถิ่นอย่างมั่นคงเพื่อรับประกันคะแนนเลือกตั้งของตนเอง หากจะพูดให้ชัดคือ การซื้อเสียงโดยนักการเมืองนั้น มิได้จำกัดแค่เพียงการจ่ายเงินโดยตรงเท่านั้น แต่มีการซื้อเสียงผ่านกระบวนการอื่นๆ เช่น การให้ความอุปถัมภ์ ฝากลูกของชาวบ้านเข้าเรียนต่อ ฝากเมียของชาวบ้านเข้าทำงานใน อบต. หรือฝากญาติพี่น้องของคนในหมู่บ้านเข้าทำงานในหน่วยงานต่างๆ รวมถึงการไปร่วมงานศพ งานบวช งานแต่ง งานขึ้นบ้านใหม่ แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือการช่วยนำศพของพ่อแม่ลูกเมียผัวของคนในหมู่บ้านกลับไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด แม้ว่าคนตายจะตายอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากบ้านเกิดเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรก็ตาม เช่น นำศพกลับจากกรุงเทพฯไปบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่การซื้อเสียงด้วยเงิน แต่เป็นการซื้อเสียงที่มีความลึกซึ้งต่อจิตใจมากกว่าการจ่ายเงินให้เพียงหัวละ 300-500 บาท และนี่เป็นการตอกย้ำในเรื่องบุญคุณอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นชาวบ้านจึงถูกผูกมัดด้วยคำว่าบุญคุญจนไม่สามารถจะมองเห็นถึงความเลวทรามต่ำช้าของนักการเมืองรายนั้นๆ ได้
การซื้อเสียงโดยนักการเมืองได้เปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิมอย่างมาก จากการซื้อเสียงแบบธรรมดา เช่น แจกน้ำปลา แจกปลาทูเค็ม แจกรองเท้าแตะหนึ่งข้างก่อนแล้วรอรับอีกข้างหนึ่งเมื่อผู้แจกได้เป็น สส. แล้ว แต่การซื้อเสียงในยุคหลังๆ โดนย้อนไปประมาณ 15 ปี เป็นการซื้อเสียงด้วยนโยบาย เช่น นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรคเรียนฟรีจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เงินค่าจ้างรายวันขั้นต่ำ 300 บาท เงินเดือน 15,000 บาท สำหรับผู้จบระดับปริญญาตรีจำนำข้าวทุกเมล็ดราคาตันละ 15,000 บาท แล้วมาล่าสุดคือการสัญญาว่าจะให้เงินค่าแรงรายวันขั้นต่ำวันละ 600 บาทบ้าง 450 บาทบ้าง ซึ่งถือเป็นการซื้อเสียงโดยผ่านนโยบายของพรรคการเมือง ซึ่งอันที่จริงก็คือการใช้นโยบายประชานิยมเพื่อซื้อเสียงนั่นเอง
เมืองไทยนั้น ผู้ถูกซื้อเสียงมิได้มีแค่เพียงคนจนในชนบท หรือคนจนในสลัมในเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น แต่คนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยก็ถูกซื้อเสียงด้วย เพียงแต่คนชั้นกลาง โดยเฉพาะคนในกรุงเทพฯไม่ได้รับเงินโดยตรงจากนักการเมือง แต่คนชั้นกลางอ้างว่าเลือกนโยบายของพรรค ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพียงแต่ว่าคนชั้นกลางเข้าใจว่าตนเองไม่ได้ถูกซื้อเสียง เพราะไม่ได้รับเงินสดๆ จากนักการเมือง แต่กลับประณามคนจนในชนบทและในสลัมว่าไม่รักประชาธิปไตย เพราะรับเงินซื้อเสียงจากนักการเมือง ทั้งๆ ที่ทั้งสองฝ่ายก็รับผลประโยชน์จากนักการเมืองด้วยกันทั้งคู่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี