การบ้านการเมืองในระบอบเสรีประชาธิปไตย ตัวจักรสำคัญ หรือกุญแจสู่ความสำเร็จก็คือ พรรคการเมือง ซึ่งเป็นตัวเชื่อมสำคัญระหว่างประชาชนพลเมือง กับผู้ปกครองบ้านเมืองหรือผู้ใช้อำนาจรัฐ เพราะพรรคการเมืองนั้นเป็นผู้รวบรวม และจัดหาบุคลากรที่จะเข้าไปทำหน้าที่ที่รัฐสภา และในคณะบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ซึ่งทั้งรัฐสภา และคณะรัฐมนตรีต่างก็มีบทบาทอันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับศาลยุติธรรม และองค์กรตรวจสอบที่เป็นอิสระต่างๆ
บรรดาพรรคการเมืองจึงจัดได้ว่าเป็นสถาบันการเมืองอันสำคัญ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสังคมและกระบวนการการเมืองในระบอบเสรีประชาธิปไตย และเมื่อพรรคการเมืองใดมีอุดมการณ์และจุดยืนที่แน่ชัด รวมทั้งมีการบริหารจัดการที่ดีด้วยธรรมาภิบาล และการมีส่วนร่วมของสมาชิกแบบประชาธิปไตย โดยประชาชนพลเมือง หรือสาธารณชนสามารถเข้าถึง และตรวจสอบได้ พรรคการเมืองนั้นก็จะถือเป็นพรรคการเมืองที่ชอบด้วยกฎเกณฑ์ และความถูกต้องชอบธรรมด้วยประการทั้งปวง
แต่ถ้าพรรคการเมืองใดมิได้เป็นเช่นนั้น คือมิได้ทำตนให้เป็นของสมาชิก และมิได้เป็นเพื่อนหรือญาติดีกับประชาชนพลเมือง คือกลับกลายเป็นพรรคที่อุ้มชูองค์บุคคล หรืออุ้มชูตระกูลการเมือง (Political dynasty) หรืออุ้มชูองค์คณะแห่งผลประโยชน์ (Interest groups) แล้วล่ะก็ พรรคการเมืองแบบนี้ก็เป็นได้เพียงสมบัติส่วนตัวขององค์บุคคลหรือหมู่คณะเล็กๆ โดยสมาชิกพรรคมิได้มีความเป็นเจ้าของร่วม และสาธารณชนเข้าไม่ถึงและไม่อยู่ในสายตา พรรคการเมืองแบบนี้จึงตอบสนองหรือเป็นข้ารับใช้ขององค์บุคคลหรือกลุ่มบุคคลน้อยนิดดังกล่าว มีนัยของการผูกขาดอำนาจและไร้ซึ่งความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรค
ณ วันนี้จัดได้ว่าพรรคการเมืองแทบจะทั้งหมดของไทยเรา ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ ต่างมีลักษณะเป็นพรรคเฉพาะกิจ (Adhoc) ที่ตอบสนองเจ้าสัวผู้มีอิทธิพล ผู้มีบารมี ผู้มีทุนทรัพย์ กล่าวโดยรวมก็คือ เป็นพรรคการเมืองที่ความเป็นเจ้าของกระจุกตัวอยู่ที่บุคคลหนึ่งใด หรือกลุ่มบุคคลหนึ่งใด และอุดมการณ์ก็คือ การยึดมั่นในตัวบุคคล หรือกลุ่มแกนนำนั้นๆ
ตลอดประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 ชาวไทยก็ได้เห็นความล้มลุกคลุกคลานของการเมืองการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตยของไทย อันสืบเนื่องมาจากความล้มเหลวของการที่พรรคการเมืองมิใช่พรรคการเมืองอย่างแท้จริง ซึ่งในสังคมเสรีประชาธิปไตยในต่างประเทศโดยทั่วๆ ไปก็จะเห็นว่า พรรคการเมืองหลักๆ ในเวทีการเมืองของเขามักจะประกอบไปด้วย พรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative) พรรคสังคมนิยม พรรคสังคมประชาธิปไตย พรรคชาตินิยม (Nationalist) และพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นต้น
นอกจากนั้นก็อาจจะมีพรรคที่มุ่งสะท้อนและเป็นตัวแทนของเรื่องสำคัญๆ ของบ้านเมือง เช่น พรรคกรรมกร หรือพรรคแรงงาน พรรคเกษตรกร พรรคสีเขียว หรือพรรครักษาและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ เป็นต้น ชื่อของพรรคการเมืองเหล่านี้ต่างสะท้อนอุดมการณ์และจุดยืนของเขา ที่เป็นที่รับรู้และเข้าใจของประชาชนพลเมือง และเป็นทางเลือกให้กับประชาชนพลเมือง
ในกรณีของไทยก็เคยมีพรรคที่มีอุดมการณ์เป็นชื่อ เช่น พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคสังคมนิยม พรรคแรงงาน และพรรคประชาธิปัตย์ (Democrat) โดยพรรคคอมมิวนิสต์ในขณะนั้นก็ทำตนเป็นพรรคนอกคอก เนื่องจากมุ่งใช้กำลังอาวุธที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม แทนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในสังคมการเมือง ส่วนพรรคสังคมนิยมก็จางหายไปในที่สุด อาจเป็นเพราะสังคมไทยได้เลือกที่จะอยู่กับเศรษฐกิจแบบการตลาดหรือทุนนิยม และไม่ประสงค์ให้รัฐเข้ามามีบทบาทครอบงำในการทำมาค้าขายต่างๆ
ก็คงเหลือแต่พรรคประชาธิปัตย์จนปัจจุบันนี้ซึ่งการตัดสินใจไปเข้าร่วมในคณะรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี พ.ศ. 2562 ก็ดูจะเป็นการตัดสินใจที่เหินห่างไปจากอุดมการณ์พรรค ก็น่าจำเป็นที่จะต้องมีการทบทวน ปรับเปลี่ยนกระบวนยุทธต่างๆ ให้เหมาะสมกับชื่อ “ประชาธิปัตย์” กันในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้
ในอดีตที่ผ่านๆ มา ต่างก็ได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า บรรดาพรรคเฉพาะกิจต่างๆ สุดท้ายก็จะล้มหายตายจากไป โดยเฉพาะเมื่อผู้นำ หรือแกนนำสิ้นอำนาจวาสนา บารมี และอิทธิพล ซึ่งมักจะจืดจางไปตามกาลเวลา ซึ่งก็ทำให้อดคิดหรือมีคำถามไม่ได้ว่า พรรคเพื่อไทย จะสามารถยืนหยัดยาวนานไปได้อีกนานเท่าใด หลัง นายทักษิณ ชินวัตร หมดเรี่ยวหมดแรงไปตามกาลเวลา หรือพลังอำนาจของพรรคภูมิใจไทยจะคงอยู่ได้ไปอีกนานเท่าใด ถ้าบุคคลชื่อ เนวิน ชิดชอบ ไม่สามารถจะกุมบังเหียนต่อไปอีกได้ และทั้งพรรคพลังประชารัฐหรือพรรครวมไทยสร้างชาติจะคงอยู่ได้หรือไม่ เมื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เฒ่าชรายิ่งขึ้น ซึ่งพรรคทั้งสามก็ไม่น่าจะพ้นการหมดวาระไปตามบทเรียนทางประวัติศาสตร์เช่นเคยเป็นแน่แท้
ในการนี้ แวดวงวิชาการ แวดวงการเมือง ไปจนถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ต้องช่วยกันคิดว่าจะวางกฎเกณฑ์กติกากันใหม่เกี่ยวกับ
พรรคการเมือง ว่าจะกำกับให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันหลักของสังคมเสรีประชาธิปไตยกันอย่างไร โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ว่าด้วยการแสดงตน หรือความเป็นตัวตนของพรรคในแง่ของอุดมการณ์ จุดยืน และคำมั่นสัญญาต่อประเทศชาติและสาธารณชน ไปจนถึงการห้ามมิให้บุคคลหรือคณะบุคคลหนึ่งใดทำตนเป็นเจ้าของพรรค เป็นต้น นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องของการกำหนดหลักเกณฑ์ที่แน่ชัดเกี่ยวกับอำนาจและบทบาทของสมาชิกพรรคในฐานะเจ้าของพรรคร่วมกัน ไปจนถึงความโปร่งใสในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะที่ไปที่มาของงบประมาณที่สาธารณชนเข้าตรวจสอบได้
โดยทั่วๆ ไปกฎหมายรัฐธรรมนูญมักจะมีบทเฉพาะเกี่ยวกับสถาบันหลักๆ เช่น รัฐสภา คณะรัฐมนตรี องค์กรยุติธรรมต่างๆ แต่ในกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นที่คาดหวังของประชาชนพลเมืองที่ต้องการประชาธิปไตยอย่างแท้จริงนั้น ก็คงจะต้องมีบทบัญญัติที่แน่ชัดและรัดกุมเกี่ยวกับพรรคการเมืองเป็นสำคัญ เพื่อให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันประชาธิปไตยและเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างประชาชนพลเมืองกับองค์กรอำนาจรัฐอย่างแท้จริง
เมื่อนั้นประชาธิปไตยของไทยจึงจะมีความเข้มแข็ง เพราะกุญแจสำคัญคือพรรคการเมือง ต่างมีความเป็นประชาธิปไตยที่เป็นเรื่องเป็นราวกันถ้วนหน้า
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี