ปี 2565 ก็ผ่านพ้นไปแล้ว โดยภาพรวมก็ต้องถือว่าเป็นการผ่านพ้นไปด้วยดีพอสมควรอันเนื่องมาจากภาวะคุกคามที่ก่อให้เกิดปัญหามายาวนานร่วม 3 ปีคือ การระบาดของโรคโควิด-19 ก็ทุเลาเบาบางลงเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการประกาศว่าโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น แต่ในทางปฏิบัติการดำเนินชีวิตของประชาชนชาวไทยและมาตรการต่างๆ ของภาครัฐในการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ก็ได้รับการผ่อนคลายจนถือว่าเป็นปกติหมดแล้ว รวมทั้งการเริ่มเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาได้นั้น ก็ทำให้เศรษฐกิจของประเทศที่ผูกโยงกับรายได้ที่มาจากนักท่องเที่ยวที่แต่ละปีมีจำนวนมากมาย ที่เคยขึ้นไปแตะระดับ 30-40 ล้านคนต่อปีในอดีต ก็เริ่มกลับคืนมาอย่างชัดเจน
แต่ก็มีเรื่องที่เชื่อว่าไม่มีชาวไทยคนไหนอยากให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น คือการอับปางของเรือหลวงสุโขทัย ที่ได้รับใช้ประเทศมายาวนานกว่า 30 ปี ในท้องทะเลเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และทำให้ลูกราชนาวีไทยจำนวนกว่า 20 คนต้องเสียชีวิตและสูญหาย
ส่วนเรื่องการเมืองนั้น ก็จะเห็นว่าแต่ละพรรคการเมืองต่างก็ฮึกเหิม โดยมีเป้าหมายว่าจะต้องเอาชนะในการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนพฤษภาคมนี้เป็นอย่างช้า โดยไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็หวังว่าจะได้เก้าอี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มากที่สุด เพื่อรวบรวมเสียงข้างมากและจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งหมายถึงโอกาสในการครอบครองการบริหารของประเทศไปเป็นระยะเวลา 4 ปีหากไม่มีปัญหาอุปสรรคและเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น
ในด้านการสาธารณสุขนั้น ต้องยอมรับว่าจากการบริหารจัดการที่ดีของศบค. โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลักในการเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆ ก็ทำให้โรคโควิด-19 ซึ่งถึงแม้จะมีการระบาดอยู่แต่ก็ไม่ได้เกิดปัญหาเหมือนอย่างในอดีต ไม่ว่าจะในเรื่องของจำนวนผู้ติดเชื้อ หรือความรุนแรงของอาการและการเสียชีวิตของผู้ป่วย แต่ก็ยังถือว่าเป็นโรคที่ยังต้องเฝ้าระวัง
ตัวเลขของการระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2565 นั้น พบว่ามีผู้ป่วยที่มีอาการจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจำนวน2,111 ราย เฉลี่ยเป็นรายวันคือ 302 รายต่อวัน โดยมีผู้เสียชีวิตจำนวน 75 ราย เฉลี่ยรายวันคือ 10 รายต่อวัน และมีผู้ป่วยปอดอักเสบ 529 ราย ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจอีก 352 ราย ตัวเลขทั้งหมดนี้ไม่ได้รวมถึงผู้ป่วยที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยที่น่าจะมีจำนวนอีกมากพอสมควร หากนับยอดรวมของผู้ที่หายป่วยสะสมในรอบปี 2565 ทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมจนถึง 31 ธันวาคม จะมีทั้งสิ้น 2,500,484 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตทั้งปีรวม 11,971 ราย
ในช่วงปลายปี ยังคงมีข่าวการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นจำนวนมากอยู่ในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศในกลุ่มทวีปยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมนี ส่วนในเอเชียคือ ประเทศญี่ปุ่น แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือการที่โรคโควิด-19 นี้ได้กลับมาระบาดใหญ่อีกครั้งหนึ่งในประเทศจีนในหลายๆ มณฑล มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากในแต่ละวันรวมทั้งมีผู้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนไม่น้อย แต่สิ่งที่น่าตกใจมากกว่าคือการที่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ประกาศนโยบายผ่อนคลายมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะการเปิดประเทศที่ปิดมายาวนาน และที่เป็นข่าวฮือฮามากคือการจะให้ชาวจีนสามารถเดินทางออกจากประเทศจีน เพื่อไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศได้แล้ว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมานี้
แน่นอนประเทศไทยคือ หนึ่งในประเทศเป้าหมายที่ชาวจีนจำนวนมากต้องการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว เพราะเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงาม มีอาหารการกินที่เป็นเลิศ มีโรงแรมและสถานที่พักให้เลือกในหลายระดับในราคาที่ยอมรับได้ และที่สำคัญยิ่งคืออัธยาศัยไมตรีของคนไทยทั้งหลาย ทั้งในด้านความเป็นมิตร การช่วยเหลือดูแล ความสุภาพอ่อนโยนและอื่นๆ ซึ่งหาได้ยากยิ่งในกลุ่มชนของชาติอื่นๆ ประเทศไทยจึงเป็นเป้าหมายสำคัญยิ่ง โดยจะเห็นได้จากในอดีตก่อนที่จะมีการระบาดของโรคโควิด-19 ว่า ในแต่ละปีจะมีชาวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศของเรามากกว่า 10 ล้านคน มากกว่านักท่องเที่ยวจากชาติอื่นใดทั้งหมด
ในส่วนของประเทศไทยรัฐบาลก็มีนโยบายที่ชัดเจนแล้วว่า จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจากทุกประเทศโดยไม่มีข้อกำหนดใดๆ ที่จะทำให้เกิดความแตกต่างของการเดินทางเข้ามาของนักเดินทางแต่ละประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดการสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้เกิดขึ้นกับประเทศของเราซึ่งย่อมกระจายไปถึง ประชาชนในทุกภาคส่วน ที่ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศที่วัดโดย ผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือ GDP (Gross Doomestric Product) ดีขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ความกังวลของประชาชนชาวไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องที่นักท่องเที่ยวชาวจีนอาจจะนำโรคโควิด-19 ติดตัวเข้ามาด้วย แล้วทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคนี้เพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งในประเทศไทยจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ คงจำกันได้ดีว่าผู้ป่วยโควิด-19 รายแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงปลายปี 2562 นั้นก็เกิดขึ้นในนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งขณะนั้นการระบาดของโรคโควิด-19 เพิ่งเริ่มจะเกิดขึ้นไม่นานนัก
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่านักท่องเที่ยวกลุ่มแรกๆที่ถือเป็นกลุ่มใหญ่ๆที่จะเดินทางจากประเทศจีนเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้น จะเริ่มทยอยเข้ามาตั้งแต่วันที่ 12 มกราคมนี้เป็นต้นไป และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนจะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จนน่าจะมีจำนวนไม่น้อยกว่าในอดีตที่ผ่านมาก่อนที่จะมีการเกิดโรคโควิด-19 ขึ้น มีคำถามจากหลายฝ่ายว่า ภาครัฐควรจะมีการคัดกรองนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนหรือไม่ แต่จากการประชุมของผู้เกี่ยวข้องโดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลักนั้นก็มีข้อสรุปแล้วว่า จะไม่มีการคัดกรองนักท่องเที่ยวจากจีนที่แตกต่างไปจากนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น กล่าวคือนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยควรจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 2 เข็ม และจะต้องทำประกันสุขภาพครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19 ก่อนเดินทางเข้ามา ส่วนการที่จะต้องได้รับการตรวจว่าติดเชื้อหรือไม่ก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศนั้น ก็เป็นไปตามที่ประเทศปลายทางกำหนด
ต้องไม่ลืมว่าการระบาดของโรคโควิด-19 จากเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนเป็นหลักในขณะนี้นั้น พบว่าความรุนแรงของเชื้อได้ลดน้อยลงไป ประกอบกับประชาชนส่วนใหญ่ของทุกประเทศได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งทำให้น่าจะมีภูมิต้านทานในระดับหนึ่งที่เมื่อติดเชื้อก็อาจจะไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรง เมื่อกลุ่มบุคคลเหล่านี้ไม่ว่าจะมาจากประเทศใด หากได้รับเชื้อมาแล้วก็ย่อมมีโอกาสที่จะแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ชิดได้เสมอ และที่เป็นข้อน่าสังเกตและน่ากังวลอีกประการหนึ่งก็คือการที่ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ของนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มีการใส่หน้ากากอนามัยกันอีกต่อไปแล้ว จึงทำให้หากมีเชื้ออยู่ในร่างกายย่อมแพร่กระจายออกไปสู่ผู้อื่นได้อย่างง่าย
แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่น่ายินดีก็คือ ส่วนใหญ่ของประชาชนชาวไทย ซึ่งยังคงจำเหตุการณ์ของการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศของเราได้เป็นอย่างดีนั้น รวมทั้งบางส่วนก็เจ็บป่วย บางส่วนก็สูญเสียญาติพี่น้องเพื่อนฝูงยังให้ความสำคัญของการป้องกันตัวเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในที่สาธารณะกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง และหากประกอบด้วยการหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีผู้คนแออัด การเว้นระยะห่างจากคนอื่นและการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ ก็ย่อมเป็นการป้องกันที่ดี
แต่ที่สำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งคือ การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 หากประชาชนคนใดยังฉีดวัคซีนไม่ครบ 3 โดสเป็นอย่างน้อย ควรจะต้องเข้ารับการฉีดให้ครบโดยเร็ว ส่วนผู้ที่ฉีดครบแล้วหลังจากการฉีดโดสสุดท้ายระหว่าง 4-6 เดือนก็ควรจะเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มต่อๆ ไป ทุกๆ ระยะเวลาดังกล่าว โดยวัคซีนที่รัฐบาลได้จัดหาไว้ในขณะนี้คือวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์เป็นหลัก ซึ่งมีผลยืนยันว่าสามารถจะสร้างภูมิต้านทานได้ในระดับที่ดี โดยมีภาวะไม่พึงประสงค์จากการฉีดอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้
ประเทศจะอยู่ได้และประชาชนจะมีความสุข ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศจะต้องดี และมีการกระจายรายได้ที่เกิดขึ้นไปยังประชาชนทุกระดับ การสร้างรายได้ให้กับประเทศจากการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ถือว่าลงทุนน้อยแต่มีผลกำไรที่สูง ถึงแม้จะมีเรื่องที่อาจจะเป็นความเสี่ยงทางสังคม คือโรคภัยไข้เจ็บจากการระบาดของโรคที่ขณะนี้ไม่ถือว่ามีความรุนแรงแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ต้องแลกกัน และหากประชาชนคนไทยยังยึดมั่นในหลักการของการป้องกันตัวเองก็ย่อมจะเป็นผลดีทั้งแก่ตัวเองและประเทศชาติที่เป็นที่รักของพวกเราด้วย
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี