10 ม.ค.2566- นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยโพสต์เฟซบุ๊ก ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า
“...ผมรู้สึกสังเวชใจ กับเวลาและโอกาสที่ประเทศสูญเสียไป 8 ปี เพื่อได้เห็นท่านขึ้นเวที เปิดตัวเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
...หากท่านลาออก หรือเกษียณอายุราชการ เดินเข้าสนามการเมือง ถือเป็นเรื่องยอมรับได้ แต่การฝังตัวในกองทัพ และแฝงกายเข้ามีบทบาททางการเมืองกว่า 10 ปีจนกระทั่งก่อการรัฐประหาร เขียนกติกาสืบทอดอำนาจถึงวันนี้ยังดื้อด้านจะอยู่ต่อ เป็นเรื่องเกินรับไหว
...ไม่มีการปฏิรูปการเมือง มีแต่ธนกิจการเมืองแจกกล้วย ซื้อตัวกันโจ่งแจ้ง ไร้ยางอาย
...ยาเสพติดเต็มเมือง ทุนสีเทาเหิมเกริมเติบใหญ่ ข้าราชการกังฉินขูดรีดผู้น้อย กระบวนการตรวจสอบอ่อนเอนตามอำนาจ คนจนยิ่งจน คนรวยยิ่งรวย คนใกล้ชิดยิ่งใหญ่ บ้านเมืองยังคงแตกแยก แม้แต่ 3 ป.ก็แตกกัน จะสร้างความสามัคคีในหมู่ประชาชนได้อย่างไร
...สิ่งที่ท่านทำอยู่ เลวร้ายกว่านักการเมืองทั้งหลายที่ท่านเคยเหยียดหยาม ไร้ความสามารถ เอาแต่ได้ เป็นนายกฯจากพรรคหนึ่งแล้วไปสมัครสมาชิกอีกพรรคก็ยังทำ ไม่รู้จักพอ คิดว่าตัวเองดีเหนือคนอื่น ทรงอย่างบ๊องติงต๊องอย่างบ่อย
...ตั้งพรรคโดยรู้ว่าแพ้แน่ แต่คิดเป็นนายกฯ ด้วยเสียงส.ว.ที่ตั้งไว้ ร่างรัฐธรรมนูญปราบโกง ด้วยเจตนาโกงอำนาจประชาชน กล่าวอ้างว่าเป็นรัฐบาลเพราะมีเสียงข้างมากจากสส. ทั้งที่อาศัยเสียงปัดเศษ คะแนนพรรคเล็กแยกเป็นรายเขต น้อยกว่าคะแนนโหวตโนในเขตนั้น จะอ้างเป็นตัวแทนประชาชนได้อย่างไร
...ประเทศไทยต้องไปต่อ แต่ต้องไม่ไปทางเดียวกับที่ท่านลากถูลู่ถูกังมา 8 ปี
...บนเวทีที่ท่านยืน มีแต่เงาอดีต ไม่เห็นภาพอนาคต สิ่งที่พูดไม่ใช่วิสัยทัศน์ มีแต่วิสัยท่าน เรื่อยเปื่อย กว้างๆ ลอยๆ ไม่มีอะไรชัดเจน
...ผมเขียนหวังให้ท่านได้อ่าน เผื่อจะได้ทบทวนว่าเป็นจริงตามนี้หรือไม่ และตัดสินใจพอเสียตอนนี้
...ขอแสดงความเฉยๆ”
1) คำถามแรกที่ผุดขึ้นในหัวของผมก็คือ นายณัฐวุฒิ “มีดีอะไร” ไหม ที่จะแสดงความคิดเห็นเหล่านี้
2) คำตอบก็คือ เขา “รับใช้” การเมืองทุนนิยมสามานย์ ถึงขั้นได้เป็น “รัฐมนตรีช่วย” ที่ดื่มน้ำเก่งที่สุดในโลก โดยเฉพาะเวลาที่ถูกนักข่าวซักไซ้ไล่เลียงเรื่องจำนำข้าวมาแล้ว เขารู้เช่นเห็นชาติการเมือง และวิธีการ “เข้าถึงตำแหน่งทางการเมือง” มาไม่น้อยกว่าใคร
3) แต่สิ่งเดียวที่เขาขาดไปคือ “หิริโอตัปปะ” คำพูดของเขาพร่องความสุจริต แต่เป็น “งาน” ชนิดหนึ่ง เพื่อให้ฝั่งตนเองดี ทั้งๆ ที่ก็มีเรื่อง “แปดเปื้อน” มากมาย และให้อีกฝั่งหนึ่งร้าย ชนิด “ไม่มีดี” อะไรเลย
4) ใช่ครับ ในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง ณับวุฒิมีสิทธิแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ แต่เขาก็เป็นคนคนหนึ่งที่มี “ปูมหลังทางการเมือง” ที่ไม่ได้สะอาด สว่าง สง่าไปกว่าคนที่เขาวิจารณ์สักเท่าไหร่ คำวิจารณ์ของเขาที่มี “ส่วนจริง” ไม่น้อย จึงไม่ “ศักดิ์สิทธิ์” แต่หนักไปทาง “ดัดจริต” เสียด้วยซ้ำ เพราะหลายๆ เรื่องตัวเขา พวกเขา ก็มิได้ทำ มิได้ยึดมั่นเช่นเดียวกัน
ณัฐวุฒิ ควรมี “กระจกบานจริง” สักบานหนึ่งไว้ส่องมองตัวเอง เพื่อจะได้เห็นเรื่องจริงอย่างน้อยๆ ก็เรื่องต่อไปนี้
1) ณัฐวุฒิทำความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งผู้คนเขาอยากรู้ว่า ได้รับผิดชอบแล้วหรือยัง นั่นก็คือเรื่องนี้ครับ
“...วันที่ 16 ต.ค. 2562 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ 1762/2554 ที่ ประสงค์ กังวาฬวัฒนา เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน), อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี, สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, กระทรวงมหาดไทย,ชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีต รมว.มหาดไทย, กระทรวงกลาโหม, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และอดีต รมว.กลาโหม ยุครัฐบาลอภิสิทธิ์, จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.), ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็นจำเลยที่ 1-10 สืบเนื่องจากการที่เจ้าหน้าที่รัฐทำการสลายการชุมนุม นปช. ที่ชุมนุมขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 ซึ่งต่อมาเกิดเหตุการณ์เผาอาคารในหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยสำนวนนี้เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายกรณีเผาอาคารพาณิชย์ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ใกล้อาคารห้างสรรพสินค้าเซ็นเตอร์วัน และอาคารดอกหญ้า
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 8-10 (แกนนำ นปช.) ร่วมกันชำระเงินจำนวน 30,509,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 พ.ค. 2553 เป็นต้นไป
จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 8-10 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 638,710 บาท ให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 8-10 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท วันนี้มีเพียงผู้รับมอบฉันทะจากโจทก์และทนายความจำเลยที่ 8-10 เดินทางมาฟังคำพิพากษา
โดยศาลฎีกาได้พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 8-10 ร่วมกันชำระค่าอาคารพาณิชย์ที่พิพากษาพร้อมทรัพย์สินที่โจทก์เสียหาย จำนวน 21,356,650 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 พ.ค. 2553 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับค่าขาดผลประโยชน์ 1,200,000 บาท เดือนละ 100,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 พ.ค. 2554) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระค่าอาคารพาณิชย์ที่พิพากษาพร้อมทรัพย์สินที่โจทก์เสียหายเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ ให้เสียค่าเสียหายได้ไม่เกิน 24 เดือน ให้จำเลยที่ 8-10 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนทรัพย์สินโจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความรวม 100,000 บาท
2) ณัฐวุฒิ สมคบ คบหา หรือทำงานกับนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคุก ด้วยคดีทุจริต อย่าบอกว่าไม่จริง เพราะอย่างน้อยมีคดีที่ศาลพิพากษาจำคุก 6 คดี รวมโทษ 12 ปี คือ
1.คดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ที่มีการกล่าวหาคุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ภริยานายทักษิณ และนามสกุลขณะนั้น) และนายทักษิณ ในการซื้อที่ดินจำนวน 33 ไร่ 78 ตร.ว. ราคา 772 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2551
โดยก่อนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะพิพากษาคดีดังกล่าว นายทักษิณ ได้เดินทางออกนอกประเทศ โดยอ้างว่าไปดูการแข่งขันโอลิมปิกที่ประเทศจีน และหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด ทำให้ศาลฎีกาฯอ่านคำพิพากษาลับหลัง จำคุกนายทักษิณ 2 ปี และยกฟ้องคุณหญิงพจมาน ปัจจุบันคดีดังกล่าวหมดอายุความแล้ว
2.คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือที่เรียกกัน
โดยทั่วไปว่า คดีหวยบนดิน โดยศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุกนายทักษิณ 2 ปี ไม่รอลงอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า การสั่งการของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังนั้น เงินที่จ่ายเกินไปกว่ารายได้ของการจำหน่ายสลากจึงถือว่าก่อให้เกิดผลขาดทุนแก่รัฐ
3.คดีสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อ 4,000 ล้านบาทแก่รัฐบาลสหภาพพม่า ศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม)
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีนายทักษิณสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
(EXIM Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อจำนวน 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลสหภาพพม่า โดยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน เพื่อนำเงินกู้ดังกล่าวไปใช้ในการซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น
4.คดีให้บุคคลอื่น (นอมินี) ถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แทน โดยบริษัท ชินคอร์ปฯเป็นคู่สัญญาต่อหน่วยงานของรัฐ และเข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นในกิจการโทรคมนาคม โดยศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา แบ่งเป็นฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปีฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุก 3 ปี
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า นายทักษิณดำเนินการดังกล่าวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ซึ่งได้รับสัมปทานดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท. ชื่อขณะนั้น) และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด หรือบริษัท ดีพีซี ได้รับสัมปทานดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท. ชื่อขณะนั้น) โดยทั้ง 2 บริษัทเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ชินคอร์ปฯ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ให้ทั้ง 2 บริษัทได้รับคืนเงินภาษีสรรพสามิตที่ชำระแล้ว โดยมีสิทธินำไปหักออกจากค่าสัมปทานที่ต้องนำส่งให้ ทศท. และ กสท. เป็นผลให้ ทศท. และ กสท. ได้รับความเสียหาย
คำถามคือ ณัฐวุฒิดีแค่ไหน ดีพอที่จะเป็น “ไม้บรรทัดวัดคนอื่น” แล้วหรือ?
ผมอยากให้ณัฐวุฒิ อธิบายสิ่งเหล่านี้บ้างครับ
ด้วยความไม่เคารพ !!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี