แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...
nn คนเราจะแสวงหาแต่วิชาการฝ่ายเดียวไม่ได้ ผู้มีวิชาการ จำเป็นต้องมีคุณสมบัติในตัวเองนอกจากวิชาความรู้ด้วย จึงจะนำตนนำชาติให้รอด และเจริญได้ คุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุกคนนั้นที่สำคัญได้แก่ ความรู้จักผิดชอบชั่วดีความละอายชั่วกลัวบาป ความซื่อสัตย์สุจริตทั้งในความคิด และการกระทำ ความไม่เห็นแก่ตัวไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ความไม่มักง่ายหยาบคาย... (ความตอนหนึ่งจากพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ณ สวนอัมพร 22 มิถุนายน 2522)...
nn อายุของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา และอายุของสภาไทยใกล้ถึงวันสิ้นสุดเข้ามาทุกขณะแล้ว หลังจากประยุทธ์ เปิดตัวลงสมัคร สส. ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อวันที่ 9 มกราคม ดังนั้น คอการเมืองไทยกลุ่มหนึ่งจึงเชื่อว่าการประกาศยุบสภาน่าจะเกิดขึ้นในช่วงไม่เกิดกลางเดือนกุมภาพันธ์ แต่ก็มีอีกกลุ่มมองต่างไป โดยเห็นว่าน่าจะไปประกาศยุบสภาเอาช่วงใกล้วันหมดอายุสภา หรือไม่ก็ปล่อยไปเรื่อยๆ จนสภาหมดอายุ แล้วจึงดำเนินการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า เนื่องจากการยังคงสถานภาพรัฐบาล จะทำให้ผู้กุมอำนาจรัฐได้เปรียบกว่าฝ่ายค้านในการหาคะแนนเสียง เพราะสามารถอ้างได้ว่าออกไปทำงานช่วยเหลือประชาชนในฐานะของฝ่ายบริหาร...
nn มีคำถามชวนคิดเรื่องหนึ่งว่า การที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่งหนังสือลากิจเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 แล้วไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ คำถามคือการส่งหนังสือลากิจของนายกรัฐมนตรีทำให้สถานภาพของนายกรัฐมนตรีต้องหยุดลงหรือไม่ หากไม่หยุด ก็หมายความว่านายกรัฐมนตรีใช้เวลาราชการไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง ใช่หรือไม่...
nn ผู้ที่อยู่ในฝ่ายบุคคลของหน่วยงานต่างๆ ให้ความเห็นว่าการส่งหนังสือ ลากิจของพนักงานในองค์กร มิได้ทำให้สถานภาพความเป็นพนักงานขององค์กรสิ้นสุดลง เพียงแต่วันที่ลากิจนั้น พนักงานไม่ได้ไปทำงานตามปกติเท่านั้น ดังนั้น จึงทำให้เกิดคำถามย้ำๆ ว่า การลากิจของนายกรัฐมนตรีในวันที่ 9 มกราคม เป็นการใช้เวลาราชการไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองในนามพรรคการเมืองใหม่ใช่หรือไม่..
nn นอกจากนั้นยังมีคำถามอีกว่า เมื่อประยุทธ์ประกาศไปร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้เคยเสนอชื่อประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน จะสามารถขอถอนชื่อประยุทธ์จากการเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ เรื่องนี้เป็นคำถามที่คอการเมืองถามไถ่กันอย่างมากมาย แต่ก็คงเป็นแค่คำถามทำนองชวนหัวเท่านั้น เพราะไม่น่าจะมีใครจากพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยรักษาชาติออกมาตอบคำถามเรื่องนี้อย่างชัดเจน เพราะพูดไปก็ทำให้เสียคะแนนนิยมทางการเมือง...
nn มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งที่เป็นเรื่องน่าบัดสีมากในวงการการศึกษาระดับอุดมศึกษาของไทย ข่าวนี้น่าบัดสีไม่น้อยกว่าข่าวอธิบดีรับเงินใต้โต๊ะ ข่าวปลัดด่าผู้ใต้บังคับบัญชา และข่าวอดีตรองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งในยุครัฐบาล
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่มีสามีอยู่แล้ว ข่าวบัดสีแห่งวงการการศึกษาไทยคือการซื้อผลงานวิจัยของผู้อื่น โดยที่ผู้ซื้อมิได้มีส่วนร่วมในงานวิจัยแม้แต่น้อย...
nn จากข้อมูลข่าวที่ระบุเบื้องต้นทำให้พอจะทราบได้ว่าผู้ซื้องานวิจัยทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งใด แต่บางกระแสก็ระบุแล้วว่าผู้ก่อเหตุชื่ออะไร พฤติกรรมน่าขยะแขยงคือ ซื้องานวิจัยโดยที่ตัวเองไม่ได้ร่วมวิจัยเป็นเงิน 3 หมื่นบาท แต่สร้างหลักฐานเท็จเพื่อขอเบิกเงินจากต้นสังกัดเป็นเงิน 1 แสน 2 หมื่นบาท แต่ที่บัดซบยิ่งกว่าคือคนคนนั้นซื้องานวิจัยผู้อื่นมาแล้วหลายชิ้น โดยมีหลักฐานว่าซื้อมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 และพบด้วยว่าซื้องานวิจัยถึง 90 ชิ้น แล้วเบิกเงินโดยสร้างหลักฐานเท็จมาโดยตลอด เรื่องน่าขยะแขยงเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วในรั้วมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งของไทย และเกิดมานานแล้ว แต่กลับไม่เคยปรากฏว่ามหาวิทยาลัยต้นสังกัด รวมถึงกระทรวงที่ดูแลมหาวิทยาลัยจะลงโทษผู้กระทำผิดแต่ประการใด แต่ถ้าหากเกิดเรื่องบัดสีเช่นนี้ในสหรัฐฯ ยุโรปตะวันตกแล้วผู้กระทำผิดต้องถูกลงโทษอย่างหนักทั้งโทษทางวินัย และอาญา แต่ทว่าเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้กลับถูกทิ้งไว้เฉยๆ ในเมืองไทย...
nn พูดถึงเรื่องการทุจริตทำนองนี้ ก็ต้องวิจารณ์กันตรงๆ ว่า เมืองไทยเป็นเมืองหนึ่งที่มีการลอกเลียนงานวิชาการ และงานอื่นๆ กันอย่างมากมาย คนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อยลอกงานผู้อื่นไปใช้ขอตำแหน่งวิชาการ นิสิต นักศึกษาจำนวนไม่น้อยลอกงานคนอื่นไปส่งอาจารย์ สิ่งที่เห็นกันชัดๆ คือแม้กระทั่งร้านถ่ายเอกสารในมหาวิทยาลัยของรัฐยังอนุญาตให้ถ่ายเอกสารหนังสือเป็นเล่มๆ ได้โดยไม่สะทกสะท้านต่อความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ในสังคมที่มีสมาชิกจำนวนไม่น้อยไร้ยางอายเท่านั้น...
nn เรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ทำนองนี้สามารถพบได้เสมอๆ ในมหาวิทยาลัยที่ไร้คุณภาพทางวิชาการ รวมถึงหลักสูตรอบรม (แบบไร้ปัญญา) จำพวกหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนที่มีเกลื่อนกลาดราวกับดอกเห็ดหน้าฝนในเมืองไทย น่าสนใจตรงที่ว่าหลักสูตรอภิสิทธิ์ชน(ไร้ปัญญาและไร้ความละอาย) สั่งให้ผู้อบรมต้องทำงานวิจัย เสมือนทำวิทยานิพนธ์ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้เข้าอบรมเป็นผู้บริหารระดับสูงมากๆ ในองค์กรต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชน แล้วความจริงยิ่งกว่าจริงคือคนที่เข้าอบรมนั้นไม่มีเวลาเขียนวิทยานิพนธ์ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน แต่ทว่าหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนก็ยังทำหน้าทนแล้วหลอกลวงสังคมมานานว่าผู้เข้าอบรมทำวิทยานิพนธ์ด้วยตนเอง ถามจริงๆ คนเหล่านั้นจะเอาเวลาที่ไหนไปเขียนวิทยานิพนธ์เล่มหนาๆ ได้ (แม้อาจจะมีปัญญาบ้างก็ตาม) เพราะแค่บอกว่าให้เขียน speech สำหรับกล่าวในงานต่างๆ ที่ตนเองต้องไปกล่าวเปิดงาน ยังไม่มีปัญญาเขียนด้วยตัวเองเลย แล้วเหตุไฉนจึงทำวิทยานิพนธ์เล่มเท่าบ้านได้ เรื่องนี้เป็นสิ่งประจานหลักสูตร และผู้เข้าอบรมหลักสูตรอย่างชัดเจน ส่วนหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนในเมืองไทยมีหลักสูตรอะไรบ้าง คงไม่ต้องกล่าวชื่อในที่นี้ แต่มั่นใจว่าวิญญูชนในสังคมไทยทราบดีอยู่แก่ใจ เพราะคนจำนวนมากต่างตะเกียกตะกายพาตัวเองเข้าไปอบรมอย่างบ้าคลั่ง เสียเงินเสียทองเท่าไรก็ยอม เพื่อแลกกับ connection และผลประโยชน์
ส่วนตัว...
nn ล่าสุดมีหลักสูตรอบรมพิสดารที่ใช้ชื่อทำนองสื่อมวลชน แต่ทว่าไม่มีองค์กรสื่อมวลชนระดับชาติเข้าไปเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย แม้อาจจะมีการเชิญตัวแทนองค์กรสื่อฯ ระดับชาติไปบรรยาย แต่ทว่าองค์กรสื่อฯ ระดับชาติ
ประกาศชัดไม่เข้าร่วมด้วย แต่ถ้าหากคนขององค์กรสื่อฯ จะไปบรรยาย เพราะได้ค่าจ้างพูด ก็ถือว่าไปในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรสื่อฯ แต่ประการใด ข่าวว่าเก็บค่าอบรมเป็นหลักแสน ส่วนเมื่อดูคนเข้าอบรมแล้ว ก็ต้องบอกว่าน่าประหลาดใจที่ยอมเสียเงินเป็นแสน เพื่อแลกกับ connection ที่แสนเลื่อนลอย...
nn ปิดท้ายด้วยข่าวไม่ค่อยดีต่อเศรษฐกิจไทยคือ คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยในปี 2566 จะติดลบประมาณ 0.5-1.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือได้ว่าเติบโตน้อยที่สุดในรอบสามปี สาเหตุเพราะตลาดที่เคยนำเข้าสินค้าไทย เช่น สหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก รวมถึงญี่ปุ่น และอาเซียนหดตัวลง โดยมีมูลเหตุมาจากปัญหาเงินเฟ้อ เศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยมีแนวโน้มถดถอยชัดเจนมากขึ้น ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังอยู่ในระดับสูง และปัญหาการสู้รบในยูเครนเพราะถูกรัสเซียบุกรุกรานยังไม่จบ แต่มีอีกปัจจัยที่ต้องจับตามองใกล้ชิดคือความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะรุนแรงกว่าเดิมหรือไม่ หากขัดแย้งหนักขึ้น ก็จะส่งผลเสียหนักขึ้นโดยปริยาย ส่วนเรื่องจีนเปิดประเทศนั้น ต้องดูต่อไปว่าจีนสามารถจัดการเรื่องโควิด-19 ในประเทศได้ดีเพียงใด หากจัดการได้ ก็อาจส่งผลดีต่อการส่งออกไทย แต่หากจัดการไม่ได้ จนต้งปิดประเทศอีกครั้ง ก็จะทำให้การส่งออกไทยทรุดหนักกว่าเดิม เมื่อการส่งออกของไทยทรุดลงก็หมายความว่าเศรษฐกิจไทยจะทรุดตามไปโดยปริยาย...nn
ธรรมกร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี