การเลือกตั้งใหญ่ของไทยในปี พ.ศ. 2566 นั้น ถูกคาดเดาจากข่าวหนาหูที่ออกมาเป็นระยะๆ ว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่มีการใช้เงินตราซื้อคนซื้อเสียง ซื้อพรรคการเมือง มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของไทย
ที่จำนวนจะมากมาย ก็เนื่องจากค่าตัวต่อหัวต่อคนในยุคนี้ มิได้ถูกพูดกันเป็นล้านบาท หากแต่เป็นระดับสิบล้านบาทขึ้นไป และนั่นก็คือเป็นแค่ค่าตัว แต่ยังไม่นับค่าซื้อเสียง ขายเสียง เมื่อฤดูการหาเสียงและการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเกิดขึ้น และที่สำคัญ ยังไม่เห็นมีผู้ใดในแวดวงการเมืองที่มีตำแหน่งต่างๆ ในพรรคการเมืองคนไหนออกมาปฏิเสธ ยืนยันว่าข่าวการใช้เงินซื้อกายและใจของมนุษย์นั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดอีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่รับผิดชอบเรื่องความสุจริตเที่ยงธรรมต่างก็ดูนิ่งเฉย ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เสมือนคนตา หู และจิตบอด ต่อความเป็นไปในสังคมโดยทั่วไป และในส่วนของสังคมที่องค์กรเหล่านี้มีหน้าที่รับผิดชอบอยู่อย่างเต็มที่
การลงทุนใดๆ ก็ต้องได้รับผลตอบแทน แต่เมื่อการลงทุนเป็นการลงทุนแบบทุจริตมิชอบ การจะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาก็ต้องได้กลับมาด้วยการทุจริตมิชอบเช่นกัน ซึ่งหมายถึงการคดโกงชาติบ้านเมือง ลักขโมยทรัพย์สมบัติเงินตราจากบ้านเมือง ซึ่งไม่พ้นการใช้ตำแหน่งหน้าที่หาเศษหาเลยจากบ้านเมืองเป็นสำคัญ ก็เท่ากับว่าการเมืองของไทยก็จะเริ่มด้วยการทุจริตและอยู่ได้ด้วยการทุจริต และฉะนั้นก็ก่อให้เกิดความหายนะต่อชาติบ้านเมือง
ก็ต้องขอถือโอกาสนี้เรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ - ป.ป.ช., สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน - ปปง. และผู้ตรวจการแผ่นดิน ไปจนถึงธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานกำกับตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ให้ช่วยกันเปิดหูเปิดตาสอดส่องดูแลความเคลื่อนไหวของเงินตราต่างๆ กันอย่างเข้มงวดมากกว่าปกติ
ในทางด้านจิตใจ ก็อยากขอเชิญชวนและเรียกร้องให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองทุกพรรคไปทำพิธีสาบานตนต่อหน้าศาสนสถานและโบราณสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองว่า จะละเว้นการกระทำใดๆ ที่มิชอบทั้งสิ้น และในทางปฏิบัติของพรรคการเมือง การใช้จ่ายเงินทองเพื่อการรณรงค์หาเสียง ก็ต้องมีระบบกฎเกณฑ์กติกาที่แน่ชัดและใช้งบให้น้อยที่สุด ซึ่งฝ่ายไทยเราก็ได้เคยศึกษาระบบต่างๆ ของหลายๆ ประเทศอย่างมากโข ก็สามารถนำมาใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ต่างๆ ของไทยให้เหมาะสมและมีความเป็นสากล
อีกประเด็นหนึ่งน่าจะมีการทบทวนอย่างใหญ่หลวงก็คือ การกระทำให้พรรคการเมืองเป็นพรรคการเมืองอย่างแท้จริง และมิใช่สมบัติส่วนตัวของธุรกิจครอบครัว ซึ่งปัญหาที่เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ การให้โอกาส ให้บุคลากรในเครือข่ายเครือญาติของผู้บริหารพรรคได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าเป็นผู้สมัครรับการเลือกตั้ง หรือเข้าไปรับตำแหน่งทางการเมือง ทั้งๆ ที่ด้อยซึ่งคุณวุฒิ และวัยวุฒิด้วยประการทั้งปวง
ทั้งนี้ความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวของผู้นำพรรคก็เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ถ้าขาดสิ่งนี้การเมืองไทยก็คือการเล่นปาหี่อีกอย่างหนึ่ง และการเมืองก็คือสนามเดิมพันแบบการพนันเท่านั้นเอง ประชาธิปไตยไทยก็จะล้มลุกคลุกคลานกันไปแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี