“สุขภาพดี” เป็นหนึ่งใน “สิทธิที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองไว้” ดังที่ปรากฏใน “รัฐธรรมนูญฉบับ 2560” ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อาทิ “มาตรา 47” ระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ, บุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายบัญญัติ, บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
รวมถึง “มาตรา 55” ที่ระบุว่า รัฐต้องดําเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด, บริการสาธารณสุขตามวรรคหนึ่ง ต้องครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมและป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพด้วย, รัฐต้องพัฒนาการบริการสาธารณสุขให้มีคุณภาพและมีมาตรฐานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน “โรคเอดส์ (AIDS)” ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส “เอชไอวี (HIV)” ก็เป็นหนึ่งในวาระสำคัญของไทย เห็นได้จากการมี “ยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560-2573”โดยมี กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นเจ้าภาพ โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายระดับโลก ซึ่งโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS)วางเป้าหมายยุติการระบาดให้ได้ภายในปี 2573(หรือ ค.ศ.2030)
สำหรับประเทศไทย แนวทางป้องกันการระบาดของเชื้อ HIV และทำให้ผู้ติดเชื้อใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยไม่ป่วยเป็นโรคเอดส์และไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาทิ กำหนดให้การเข้าถึงยาต้านไวรัส HIV เป็นสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตลอดจนดึงภาคประชาสังคมเข้ามาจัดบริการที่เกี่ยวข้องร่วมกับบุคลากรด้านสาธารณสุข อาทิ การตรวจคัดกรองหาเชื้อ HIV การจ่ายยาป้องกันการติดเชื้อก่อนการสัมผัส (Pre-Exposure Prophylaxis, PrEP) ยาป้องกันการติดเชื้อหลังการสัมผัส (Post-Exposure Prophylaxis, PEP) การแจกถุงยางอนามัย
กระทั่งตั้งแต่ช่วงหลังเข้าปีใหม่ 2566 เป็นต้นมาเกิดประเด็นข้อกังวลจากคนทำงานด้าน HIV/AIDS ใน 2 เรื่อง คือ 1.สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ออกประกาศเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2566 ซึ่งมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้งบประมาณการป้องกันการติดเชื้อ HIV ครอบคลุมเฉพาะประชาชนที่อยู่ในสิทธิการรักษาพยาบาลของ สปสช. (บัตรทอง) เท่านั้น ส่งผลให้ประชาชนผู้ที่มีสิทธิการรักษาอื่นๆ เช่น สิทธิข้าราชการ สิทธิแรงงานในระบบประกันสังคมไม่สามารถเข้าถึงได้
กับ 2.กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข มีหนังสือถึงองค์กรภาคประชาสังคม เรื่อง แนวทางการจัดบริการเพร็พในสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2565 ที่กำหนดให้เมื่อผู้รับบริการได้เข้ารับบริการตรวจคัดกรองการติดเชื้อ HIV ที่คลินิกเทคนิคการแพทย์ของภาคประชาสังคมแล้ว หลังจากนั้นต้องส่งผลตรวจไปให้สถานพยาบาลของรัฐเพื่อตรวจวิเคราะห์และสั่งจ่ายยาโดยแพทย์ และจ่ายยาโดยเภสัชกรในสถานพยาบาลของรัฐที่เป็นที่จัดเก็บยา PrEP
ข้อมูลจาก มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) องค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานกับผู้ขายบริการทางเพศ (Sex Worker) และผู้มีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงยามค่ำคืน ในพื้นที่กรุงเทพฯ และเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ที่ออกมาเรียกร้องให้ทบทวนประกาศทั้ง 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2566 ระบุว่าในปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมา (เดือนตุลาคม 2564- กันยายน 2565) หน่วยบริการของมูลนิธิฯ ให้บริการตรวจคัดกรองหาเชื้อ HIV ไปทั้งสิ้น 8,727 ราย
ในจำนวนนี้แบ่งเป็นสิทธิบัตรทอง 4,204 ราย (ร้อยละ 48.2) แต่รองลงมาคือสิทธิประกันสังคม 3,974 ราย (ร้อยละ 45.5) ส่วนสิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ อยู่ที่ 527 ราย (ร้อยละ 6) และอื่นๆ 22 ราย (ร้อยละ 0.3) โดยข้อมูลข้างต้นชี้ให้เห็นว่า “แรงงานในระบบประกันสังคมใช้บริการแทบจะเท่ากับผู้ถือสิทธิบัตรทอง” นอกจากนั้น ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีผู้มารับบริการยา PrEP จากมูลนิธิฯ 5,625 ราย
ซึ่งก็ต้องบอกว่า “นี่เป็นเพียงข้อมูลจากองค์กรแห่งเดียวเท่านั้น” โดย สุรางค์ จันทร์แย้ม ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ กล่าวว่า ยังมีองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ ที่ทำงานแบบเดียวกัน อาทิ สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย มูลนิธิเอ็มพลัส มูลนิธิแคร์แมท ดังนั้น การที่ไม่ให้องค์กรภาคประชาสังคมร่วมให้บริการ อาจส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากเข้าไม่ถึง
โดยภาพรวมของประเทศในการให้บริการยา PrEP ซึ่งมีคลินิกของภาคเอกชน องค์กรภาคประชาสังคม และโรงพยาบาลของรัฐ ผลการดำเนินงานของคลินิกภาคประชาสังคมคิดเป็นร้อยละ 60 จึงนำไปสู่ข้อเสนอแบ่งเป็น “ระยะเร่งด่วน” คือให้ทั้ง สปสช. และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ทบทวนประกาศทั้ง 2 ฉบับ แก้ไขให้กลับไปเป็นอย่างที่เคยดำเนินการมา เพื่อให้ประชาชนคนไทยไม่ว่าจะมีสิทธิการรักษาพยาบาลแบบใดสามารถเข้าถึงบริการคัดกรองและป้องกันโรคได้อย่างสะดวก ซึ่งจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพในการป้องกันการระบาดของโรคเอดส์ในไทย
ส่วน “ระยะยาว” กำหนดแนวทางการให้บริการจ่ายยา PrEP แก่ผู้รับบริการในคลินิกเทคนิคการแทพย์ สามารถดำเนินการร่วมกับวิชาชีพเภสัชกรรมตามกฎหมายวิชาชีพเภสัชกรรม และวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายวิชาชีพเวชกรรม ผ่านวิธีการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) รวมถึงการบูรณาการ 3 กองทุนรักษาพยาบาล (สิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ ประกันสังคมและบัตรทอง) เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิบริการป้องกัน HIV ได้ทุกสถานพยาบาล
อีกด้านหนึ่ง ในวันที่ 10 ม.ค. 2566 เช่นกัน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงข้อกังวลข้างต้น ตอนหนึ่งระบุว่า จากประเด็นปัญหาเรื่องงบประมาณในส่วนของการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับผู้ที่นอกสิทธิบัตรทอง (สิทธิประกันสังคม ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ) ซึ่ง สปสช. กำลังเร่งดำเนินการเพื่อให้มีความชัดเจนทางกฎหมายในการเบิกจ่ายงบประมาณ ในระหว่างนี้ ผู้รับบริการสามารถเข้ารับบริการตามสิทธิเดิม กรมควบคุมโรคจะสนับสนุนถุงยางอนามัย และยา PrEP ให้กับผู้มารับบริการที่มารับบริการที่องค์กรภาคประชาสังคม
เพื่อให้มีการจัดบริการได้อย่างต่อเนื่องและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และได้เตรียมจัดประชุมชี้แจงกับองค์กรภาคประชาสังคมและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความเข้าใจ และประสานความร่วมมือในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน รวมทั้งประสานงานกับโรงพยาบาลในเครือข่ายเพื่อขอให้รับเป็นคู่ร่วมจัดบริการยา PrEP กับองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายได้เข้าถึงบริการการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้สะดวก และครอบคลุมมากขึ้น!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี