อาเซียนและสหภาพยุโรป (ในชื่อเดิม-ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป) ได้สถาปนาความสัมพันธ์ในระดับองค์กรต่อองค์กรอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520) ซึ่งในปี พ.ศ. 2566 นี้ ความสัมพันธ์ก็นับมีอายุครบ 45 ปีแล้ว ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปก็พอจะสรุปได้ว่า ความสัมพันธ์ประสบความสำเร็จในหลายประการ และความสัมพันธ์มีลักษณะเป็นพิเศษในตัวเองในแง่ที่ว่า
1.แม้ทั้ง 2 องค์กรตั้งอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ที่ห่างไกลกันมาก แต่ก็สามารถร่วมมือกันได้
2.ฝ่ายสหภาพยุโรปเป็นที่รวมของประเทศสมาชิกที่มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองในระบอบประชาธิปไตย คือเป็นฝ่ายที่พัฒนาแล้ว ในขณะที่ประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่ก็ยังสามารถร่วมมือกันได้
3.ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีความเชื่อมั่นในเรื่องผลประโยชน์ของการร่วมมือกันระหว่างประเทศในภูมิภาคหนึ่งใด (Regional Cooperation) เป็นพื้นฐานของความร่วมมือ
4.ทั้ง 2 ฝ่ายประสงค์อยู่ในโลกเสรี (The free world) ที่กลุ่มชนและประเทศหนึ่งใดมีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ถูกกดขี่หรือครอบงำโดยระบบหรือประเทศหนึ่งใด และฉะนั้นทั้งสองฝ่ายจึงมีจุดยืนร่วมกันในเรื่องการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียตเป็นแกนนำในขณะนั้น
5.ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมุ่งประสงค์ให้มีการพัฒนาด้วยระบบเศรษฐกิจเสรี หรือการตลาดแบบทุนนิยม และไม่เห็นด้วยกับระบบเศรษฐกิจปิดที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการต่างๆเสียเองทั้งหมด โดยไม่เปิดให้กับภาคเอกชนใดๆ มีที่ยืน
6.ด้วยอุดมการณ์ร่วมดังกล่าว ทั้ง 2 ฝ่ายก็มุ่งดำเนินการร่วมมือทางเศรษฐกิจและร่วมมือกันทางด้านการพัฒนา (Development cooperation) และด้วยที่ฝ่ายสหภาพยุโรปมีความเจริญก้าวหน้ามากกว่าดังกล่าว ฝ่ายสหภาพยุโรปจึงอยู่ในฐานะเป็นผู้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และสนับสนุนให้ฝ่ายอาเซียนเร่งพัฒนาตนเองขึ้นมาได้อย่างเป็นที่พึงพอใจ
7.ความสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่ายได้ถูกริเริ่ม และดำเนินการในช่วงที่โลกอยู่ในยุคสงครามเย็น ซึ่งขณะนั้นมีการคาดการณ์กันว่า ฝ่ายอาเซียนอาจจะตกอยู่ภายใต้การครอบงำของฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (Domino theory) แต่การณ์กลับมิได้เป็นเช่นนั้น โดยอาเซียนนั้นกลับสามารถพัฒนาตนเองและยืนหยัดต่อสู้กับการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ โดยที่ฝ่ายสหภาพยุโรปได้มีบทบาทอันสำคัญ และมิใช่แค่นั้นยังอาจกล่าวได้ด้วยว่า ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกับมิตรประเทศอื่นๆ ที่มีอุดมการณ์ร่วม ได้ร่วมกันเอาชนะลัทธิคอมมิวนิสต์ไปได้อย่างสัมฤทธิผล
8.การร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป แต่เดิมนั้นมีลักษณะหรือรูปแบบของการเป็นฝ่ายผู้ให้และฝ่ายผู้รับความช่วยเหลือ (Donor-recipient) โดยฝ่ายสหภาพยุโรปเป็นฝ่ายผู้ให้ และฝ่ายอาเซียนได้แต่เป็นผู้รับ แต่ในระยะหลังๆ และในอนาคตต่อไป ความสัมพันธ์ได้เริ่มปรับเปลี่ยนเป็นคู่คิดคู่ค้า และผู้ร่วมมือกันในสถานะแห่งความทัดเทียม (Partnership) ซึ่งมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การค้า การลงทุน และการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่ได้แพร่ขยายไปในแขนงสาขาต่างๆ ทั้งในเรื่องความมั่นคงต่างๆ เช่น เรื่องสภาวะโลกร้อน และเรื่องการต่อสู้กับโรคระบาดและภัยธรรมชาติ เป็นต้น
แต่ยังมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่การร่วมมือช่วยเหลือระหว่างกันนั้นยังไม่มีความคืบหน้า นั่นก็คือเรื่องการส่งเสริมการเมืองการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย และการปกป้องคุ้มครองและส่งเสริมเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งน่าจะถึงเวลาที่ 2 ฝ่ายจะได้เริ่มปรึกษาหารือในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง ด้วยเหตุผลว่า ฝ่ายสหภาพยุโรปเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ และค่านิยมว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชนก็ไม่เป็นรองใคร และไฉนฝ่ายสหภาพยุโรปจะเอาแต่เพิกเฉยต่อการอยู่นิ่งย่ำเท้า หรือการถดถอยของสังคมประชาธิปไตย และการปกป้องเรื่องสิทธิมนุษยชนในแวดวงอาเซียน
เมื่อฝ่ายสหภาพยุโรปเป็นอย่างไรในเรื่องที่ดีงาม ก็น่าที่จะต้องช่วยเรียกร้อง และช่วยเหลือให้อาเซียนมิตรในฐานะคู่คิดคู่ค้า และพันธมิตร ได้มีการปรับเปลี่ยนทิศทาง จากสังคมที่ประชาธิปไตยมักถูกลืมเลือน หรือกลั่นแกล้ง ให้หันไปสู่ความเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างทัดเทียมและสง่างาม
ฉะนั้นในช่วงที่ 2 ของระยะเวลาอีก 45 ปีข้างหน้า ก็เป็นการสมควรที่สองฝ่ายจะร่วมมือกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพต่างๆ นานา กันอย่างจริงจัง เพราะการเพิกเฉยของฝ่ายสหภาพยุโรปต่อการที่เรื่องสิทธิเสรีภาพในอาเซียนยังไม่งดงาม จะเป็นการสะท้อนว่าฝ่ายสหภาพยุโรปนั้นไม่มีความจริงใจและจริงจัง เพราะมันเป็นการคบหาสมาคมแค่กับฝ่ายผู้ปกครองของอาเซียนที่มักจะโน้มเอียงไปทางด้านเผด็จการนิยม โดยที่ฝ่ายสหภาพยุโรปมิได้คำนึงถึงความปรารถนาและความคาดหวังของประชาชนพลเมืองอาเซียน ในเรื่องการมีชีวิตแบบชาวสหภาพยุโรปที่อยู่ท่ามกลางชีวิตที่มีศักดิ์ศรี และจิตใจที่เสรี
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี