แม้จะผ่านพ้นไปแล้วกับ “วันเด็กแห่งชาติ” เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่การดูแลเด็กและเยาวชนนั้นจำเป็นต้องให้ความสำคัญในทุกวัน ซึ่ง “สุขภาพจิต” ถือว่าเป็นวาระใหญ่ อาทิ ในการแถลงข่าวร่วมกันของตำรวจ นำโดย กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์(บก.ปคม.) กับองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) อย่างมูลนิธิกระจกเงา เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2566 ว่าด้วยสถิติ “เด็กหาย” ที่ข้อมูลระบุว่า สถิติรับแจ้งเด็กหาย ของมูลนิธิกระจกเงา ปี 2565 ทั้งสิ้น 251 ราย ซึ่งถือว่าสถิติเด็กหายเพิ่มเติมสูงขึ้นในรอบ 4 ปี โดยสูงกว่าปี 2564 ถึงร้อยละ 25
ซึ่งประเด็นที่น่าเป็นห่วง ตามคำบอกเล่าของ เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา นั้นคือ “สาเหตุหลักกว่าร้อยละ 61 หรือ 161 ราย คือเด็กที่สมัครใจหนีออกจากบ้าน” ทั้งนี้ โดยช่วงอายุเฉลี่ยของเด็กที่หายออกจากบ้าน มากที่สุดคือช่วง อายุ 11-15 ปี รวม 157 ราย รองลงมาคืออายุ 16-18 ปี รวม 67 ราย และช่วงแรกเกิด-อายุ 10 ปี รวม 28 ราย
“ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ปี 2565 มีสถิติรับแจ้งเด็กหายเพิ่มสูงขึ้น โดยกลุ่มวัยรุ่นอายุ 11-15 ปี ถือว่ามีความเสี่ยงในการตัดสินใจหนีออกจากบ้าน โดยเฉพาะเด็กที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัว ทำให้เด็กไปให้ความไว้วางใจเพื่อนหรือคนที่เพิ่งรู้จักในโลกออนไลน์ มากกว่าคนในครอบครัว จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านได้โดยง่าย โดยจากข้อมูล เด็กยอมไปกับคนที่เพิ่งรู้จักหรือพูดคุยกันผ่านแอปพลิเคชั่น จาก facebook instagram tiktok
แม้ว่าเด็กจะสมัครใจหนีออกจากบ้านเอง แต่โลกภายนอกบ้าน มีอันตรายหลายอย่างสำหรับเด็ก ทั้งการคุกคามหรือหาประโยชน์ทางเพศกับเด็ก หรือมีความเสี่ยงในการถูกล่อลวง หรือกระทำความรุนแรง นอกจากนี้ยังมีเด็กที่หายออกจากบ้านและต่อมาพบว่าเด็กออกจากบ้านไปฆ่าตัวตายด้วย” เอกลักษณ์ ระบุ
ขณะที่ พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กล่าวว่า เด็กหายนับว่าเป็นปัญหาสำคัญของสังคม เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกประเทศทั่วโลก โดยในประเทศไทย แม้ว่า เด็กหายส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มของเด็กที่สมัครใจหนีออกจากบ้านก็ตาม แต่ท้ายสุดแล้ว เมื่อมีการแจ้งความเด็กหายมายังตำรวจจะถือว่าทุกกรณีมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
“การที่เด็กก้าวเท้าออกจากบ้านย่อมเกิดอันตรายได้รอบด้าน ทั้งสวัสดิภาพและความปลอดภัย อาจเกิดการล่วงละเมิดทางเพศ หรือการแสวงหาผลประโยชน์กับเด็ก การมีความเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน อันนำมาซึ่งปัญหาสังคมในด้านอื่นตลอดจนอาจตกเป็นผู้เสี่ยงหายจากการถูกค้ามนุษย์” พล.ต.ต.ศารุติ กล่าว
โดยปกติแล้วตามความเข้าใจของคนทั่วไป “บ้านนั้นคือสวรรค์” เป็นที่พักกายและใจจากความเหน็ดเหนื่อยต่างๆ ที่เผชิญมาจากภายนอก “แต่สำหรับเด็กและเยาวชนบางคนแล้วบ้านก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น”ดังเรื่องเล่าของ จอมเทียน จันสมรัก ผู้เคยมีประสบการณ์กับโรคซึมเศร้า ที่เปิดเผยในวงเสวนา “ทางออกสุขภาพจิต พิชิตปัญหาวัยรุ่น” ที่งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 เมื่อช่วงปลายเดือน ธ.ค. 2565จนเชื่อว่าหลายคนที่ได้ไปฟังในงานวันนั้นคงอึ้งและสะเทือนใจ ว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาได้อย่างไร
จอมเทียน ซึ่งปัจจุบันอายุ 28 ปี เคยทำงานวิจัยในโครงการของ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย(องค์การมหาชน) หรือ TIJ ว่าด้วยระบบสนับสนุน (Support System) ทั้งประเทศ เกี่ยวกับระบบของรัฐที่สนับสนุนผู้เสียหายจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงทำกลุ่มสนับสนุน (Support Group) สำหรับผู้เสียหาย แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ ชีวิตส่วนตัวนั้นผ่านวิกฤตมาตั้งแต่เด็ก
ตั้งแต่ต้องใช้ชีวิตกับแม่ที่มีอาการหวาดระแวง เคยถูกแม่พาไปลาออกจากโรงเรียนอนุบาลซึ่งกว่าจะได้กลับเข้าระบบการศึกษาต้องรอถึงอายุ 9 ปี เคยอยู่แบบลำบากอดมื้อกินมื้อต้องพึ่งพาอาหารจากญาติข้างบ้านเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศจากลูกพี่ลูกน้องแต่ตอนนั้นยังเด็กจึงไม่รู้ว่าคืออะไร เคยทำร้ายตนเองด้วยการกินยาพาราเซตามอลเกินขนาด แต่ทั้งหมดนี้ไม่เคยมีหน่วยงานของรัฐเข้ามาช่วยเหลือ ไม่มีการประสานส่งต่อทั้งที่โรงเรียนและโรงพยาบาลรับรู้
กระทั่งจุดเปลี่ยนในชีวิตคือการได้เข้าเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นั่นมีคณะจิตวิทยาและนิสิตสามารถพบนักจิตวิทยาได้ และได้อยู่หอพักโดยไม่ต้องอยู่กับแม่ จึงเริ่มดูแลตนเองพร้อมกับดูแลแม่ กระทั่งเมื่อไม่นานนี้เพิ่งได้เห็นนักสังคมสงเคราะห์ พยาบาลจิตเวช และอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านทำให้คิดว่า หากระบบนี้มีมาถึงตั้งแต่ตนเองยังเป็นเด็กก็อาจไม่ต้องเผชิญกับความรุนแรงต่างๆ เลยก็เป็นได้
จากอดีตของตนเอง จอมเทียน เล่าต่อไปถึงตัวอย่างของเด็กที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ เช่น มีเด็กทะเลาะกับแม่ถึงขั้นถูกทำร้ายร่างกาย เด็กบอกครูว่าขอให้พาไปพบนักสังคมสงเคราะห์แต่ครูกลับบอกให้กลับไปคุยกับแม่ก่อน เชื่อว่าคงไม่มีอะไรรุนแรง กระทั่งท้ายที่สุดเด็กก็หนีออกจากบ้านช่วงกลางดึก “การหนีออกจากบ้านคือการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเฮือกสุดท้าย เป็นการแสดงออกว่าเด็กคนนั้นจะไม่ทนอีกต่อไป” ซึ่งหลังจากนั้นเด็กก็ได้ไปพักที่โรงพยาบาลและพบนักสังคมสงเคราะห์โดยพ่อพาไปส่ง คำถามคือเราควรปล่อยจนเด็กต้องทำแบบนี้ก่อนจริงหรือ
ทั้งนี้ ในช่วง 3-4 ปี ที่ทำงานช่วยเหลือเหยื่อความรุนแรงมา จะมี 2 กรณีที่สบายใจได้ 1.ผู้ถูกกระทำได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว ลักษณะนี้แม้ต่อไปต้องเจอความรุนแรงหรือเจอวิกฤตอะไรเพิ่มอีกก็ยังสบายใจหากที่บ้านรับฟัง แต่หากครอบครัวไม่ได้ให้การสนับสนุนมักพบเด็กเปรยว่าอยากฆ่าตัวตาย กับ 2.ผู้ถูกกระทำอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะพอจะดูแลตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งรัฐ เช่น มีเงินจ่ายเพื่อรับบริการในโรงพยาบาลเอกชนหรือพบนักจิตวิทยา
ซึ่งต้องบอกว่า “บุคลากรสาธารณสุขเฉพาะทางด้านจิตเวชในประเทศไทยมีน้อยมาก” ทำให้บุคลากรไม่ว่าจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา 1 คนต้องรับดูแลผู้ป่วยจำนวนมากจนไม่มีเวลาติดตามให้ตลอดรอดฝั่งแม้ใจจะอยากทำก็ตาม เรื่องนี้สอดคล้องกับการเปิดเผยของ กรมสุขภาพจิต เมื่อเดือน ธ.ค. 2565 ในภาพรวมมีจิตแพทย์ที่ให้บริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานครเพียง 822 คน จำแนกเป็นจิตแพทย์ทั่วไป จำนวน 632 คน ร้อยละ 76.9 และจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น จำนวน 190 คน ร้อยละ 23.1 อัตราเฉลี่ยจิตแพทย์ 1.25 คน ต่อแสนประชากร
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอกล่าวถึงเรื่องนี้ซึ่งเป็นความท้าทายทั้งของภาครัฐที่ขาดแคลนบุคลากร และของสังคมที่ต้องตระหนักถึงการส่งต่อ
รวมถึงการรับฟังอย่างไม่ต้องด่วนตัดสินเพราะแต่ละคนมีเรื่องราวที่มาที่ไปแตกต่างกันว่าจะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เพื่อไม่ต้องให้เด็กและเยาวชนต้องเผชิญความเสี่ยง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี