มองไปที่กระดานการเมืองไทยในขณะนี้แล้ว โดยเฉพาะที่บรรดาพรรคการเมือง และแกนนำผู้บริหาร ต่างก็ดูมีแต่หน้าเดิมๆ คิดเดิมๆ ซ้ำซาก วิธีการก็เดิมๆ เช่นกัน
พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ช่วยสะท้อนความคิดอ่านของบรรดาผู้เล่นการเมืองชั้นนำเหล่านี้ ต่อสภาพของประเทศไทย รวมทั้งสถานะของประเทศไทยในโลกกว้าง และไม่ได้บอกว่าพวกเขาจะนำพา ขับเคลื่อนประเทศไทยให้ฝ่าวงล้อมของการถดถอยทางเศรษฐกิจโลกได้อย่างไร
ในเมื่อไม่มีภาพรวมเกี่ยวกับประเทศไทย แล้วจะสามารถนำพาประเทศไทยไปได้อย่างไร? ครั้นพอจะออกมาพูด หรือเล่นเป็นบางเรื่อง ก็ดูจะสะท้อนความคับแคบในองค์ความรู้และวิสัยทัศน์ ซึ่งในลักษณะนี้ประเทศไทยก็ไม่พ้นที่จะเคลื่อนที่ไปเหมือนกับเรือไร้เครื่องยนต์และหางเสือ ที่เอาแต่ลอยตุ๊บป่องๆ ไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่ากัปตันเรือ และลูกเรือหายไปอยู่ที่ไหน และตั้งใจจะทำอะไรโดยเฉพาะจะเดินเรือไปยังจุดหมายใด และไปอย่างไร
แต่ละพรรคก็ดูจะหาคะแนนนิยมในเรื่องบางเรื่องเพียงเพื่อให้เป็นที่ฮือฮาและครึกโครม ซึ่งเรื่องต่างๆ เหล่านี้ เอาเข้าจริงก็หนักไปในทิศทางของประชานิยมเป็นหลัก โดยหวังที่จะมีผลให้ได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนพลเมือง ที่ได้รับการตอบสนองแค่เฉพาะหน้าประเดี๋ยวประด๋าว โดยไม่มีการคิดอ่านที่จะมีมุมมองประเทศในภาพรวม หรือมีแผนแม่บทเพื่อการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ดูตัวอย่างพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคแรก ที่เห็นๆก็ยังเอาแต่ทวงบุญคุณจากประชาชนพลเมืองในเรื่องโครงการการรักษาพยาบาลแบบทั่วหน้า ด้วยสนนราคา 30 บาทต่อการเข้าพบปะหมอและพยาบาล กับโครงการประกันราคาพืชผล ผสมกับค่าแรงต่อวันขั้นต่ำ ไปจนถึงเงินเดือนขั้นต่ำสำหรับผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อีกทั้งเรื่องกองทุนหมู่บ้าน และกองทุนธุรกิจขนาดเล็กกลาง และย่อม เป็นต้น และก็ยังมุ่งมั่นที่จะเอาชนะการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมาก เพื่อจะดึงดันเอา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับสู่บ้านเมืองโดยเท่ๆ แบบที่กระบวนการยุติธรรมมิสามารถเข้าไปแตะต้องได้ ชี้ให้เห็นว่า ยังปล่อยให้ครอบครัวการเมืองชินวัตรครอบงำพรรค แล้วก็อ้างว่าพรรคตนนั้นมีความเป็นประชาธิปไตยอย่าง ไม่มีพรรคใดทัดเทียมได้ อย่าลืมว่าเรื่องพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นคือชนวนระเบิดที่ยังไม่จางหาย แล้วปัญหาก็คงจะปะทุอุบัติขึ้นอีกแน่นอน
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังติดกับอยู่กับนโยบายโครงการประกันรายได้ให้กับเกษตรกร วงการธงสีฟ้าเพื่อสินค้าอุปโภค-บริโภคที่มีราคาย่อมเยา และโครงการกองทุนเล่าเรียนระดับปริญญาตรี โดยบรรดาผู้บริหารและที่ปรึกษาอาวุโสก็ดูไม่อนาทรร้อนใจ และไม่คิดว่าต้องรับผิดชอบต่อการไหลออกของบุคลากรที่มากด้วยประสบการณ์ไปสู่พรรคการเมืองอื่นๆ
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ก็พยายามเก็บเล็กผสมน้อยจากบทบาทในเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 และการมุ่งที่จะเปิดเสรีการเพาะปลูกกัญชง กัญชา โดยออกคำสั่งกระทรวงก่อนการออกกฎหมายเพื่อรองรับนโยบายนี้ เสมือนกับว่าไม่ได้รู้ขั้นตอนมาก่อน สักแต่จะเอาหน้าเอาคะแนนนิยมไว้ให้ได้เสียก่อน
ส่วนพรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และพรรคสร้างอนาคตไทยของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แม้จะเพียบพร้อมด้วยบุคลากรที่มีประสบการณ์ทางการเมืองสูง และมีเซียนเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ แต่ก็ยังไม่มีนโยบายเศรษฐกิจอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันเว้นในเรื่องข้อเสนอว่าด้วยการเรียนฟรีถึงระดับปริญญาตรี
ขณะที่พรรคชาติพัฒนากล้าก็ยังดูนิ่งๆทำให้คอการเมืองทั้งหลายก็ยังงุนงงว่า ด้วยปูมหลังของชีวิตที่แตกต่างกันมากของทั้ง คุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ กับคุณกรณ์ จาติกวณิช นั้น ไปโคจรมาบรรจบกันได้อย่างไร? นอกจากนั้น ก็ยังไม่มีอะไรเสนอต่อประชาชนให้เป็นที่ประจักษ์
ส่วนพรรคก้าวไกลนั้นก็ดูจะสาละวนกับภาพของการไม่เอา (หรือการต่อต้าน) ฝ่ายฐานันดรเดิมแต่ก็ไม่ได้มีการเสนอทางออกว่าจะแก้ไขปรับปรุงอย่างไรให้เหมาะสม เป็นการดำเนินการแบบ “แอนตี้” เพื่อเอามันส์เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่สร้างสรรค์ อีกทั้งก็ยังไม่มีข้อเสนอใดๆ เกี่ยวกับอนาคตประเทศไทยที่จับต้องได้ หรือการก้าวไปไกลของสังคมไทย ที่สะท้อนกับชื่อของพรรคทั้งอดีตและปัจจุบัน
ท้ายนี้ก็เป็นที่ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า 2 พี่น้องต่างบิดามารดรอย่าง ประวิตร และ ประยุทธ์ ได้ตัดสินใจแยกทางกันเดินอย่างเด็ดขาด แถมเริ่มที่จะแยกเขี้ยวเข้าใส่กันอีกด้วย ทำให้คอการเมืองต่างงุนงง งงงวยกับความหลงใหลในอำนาจวาสนาอย่างไม่จบไม่สิ้นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และการไม่ให้เกียรติ ไม่ไว้หน้า และไม่ยอมเปิดทางให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เสียเลย ทั้งๆ ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ก็เป็นผู้ค้ำจุนหรืออยู่เบื้องหลัง พล.อ.ประยุทธ์ มาโดยตลอด ไม่ใช่แค่ในช่วงกิจกรรมการเมืองร่วมกัน 8 ปีที่ผ่านมานี้ แต่ตั้งแต่เมื่อครั้งยังอยู่ในกองทัพบกด้วยกัน และเดินตามกันมา
การนี้ขั้วอนุรักษ์นิยมก็เลยดูแตกออกเป็น 2 ซีก ก็น่าจะมีผลเป็นการเปิดทางให้ฝ่ายพรรคเพื่อไทยมีความโดดเด่น และทำการกระชับเสียงและคะแนนนิยม อีกทั้งก็จะไม่เป็นที่แปลกประหลาดใจถ้าหากฝ่าย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะหันไปจับมือกับฝ่ายพรรคเพื่อไทย เพราะต้องการเล่นการเมืองแบบปรองดองสมานฉันท์ และไม่เอาด้วยกับสไตล์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดูมุทะลุดุดัน แบบ “ข้าไปคนเดียว” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็หวังว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะไม่เล่นกับไฟในเรื่องเอา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านแบบเท่ๆ
อีกมุมหนึ่งเสียงวุฒิสมาชิก 250 เสียง ก็คงจะแตกแยกออกเป็นปีกประยุทธ์ และปีกประวิตรอย่างแน่แท้ และในการนี้โอกาสที่พล.อ.ประยุทธ์ จะได้เป็นนายกฯเป็นครั้งที่ 3 ก็น่าจะยากลำบาก ซึ่งแม้ว่าจะมีการขับเคลื่อนดำเนินการให้ปลดล็อกเรื่อง 8 ปี ของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากให้มีผลย้อนหลังไปที่ตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ ก็คงจะได้เป็นชนวนระเบิดทางการเมืองอีกลูกหนึ่งอย่างแน่นอน
เพื่อนบ้านติดเราอย่างมาเลเซีย บัดนี้เพิ่งจะมีนายกรัฐมนตรีชื่อ อันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งความเป็นมา มาดำรงตำแหน่งได้อย่างไร? ก็น่าจะเป็นเรื่องที่นักการเมืองไทยทั่วไป และโดยเฉพาะแกนนำที่ใฝ่หาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีควรจะได้หาโอกาสศึกษา เพื่อใช้เป็นคติ และเป็นแบบอย่างของนักการเมืองที่ไม่หนีประเด็นปัญหา และยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรม พรรคการเมืองไทยเราจะได้มีโอกาสนำเสนอนโยบายที่ชี้ให้เห็นถึงก้าวต่อไปของประเทศไทยบนเวทีโลก ให้คนไทยได้เห็นว่า วิสัยทัศน์ใคร น่าสนใจ และน่าจะทำให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดทัดเทียมกับประเทศเจริญแล้วบนโลกนี้ได้บ้าง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี