การเมืองที่ต่อสู้ด้วยการแข่งขันนำเสนอนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน เป็นเรื่องที่สร้างสรรค์
การคิดวิเคราะห์ มองรอบด้าน บนฐานข้อมูลข้อเท็จจริงเป็นสิ่งจำเป็น
เพราะทุกนโยบาย ผู้นำเสนอก็จะบอกว่าเป็นแนวทางที่สำคัญ จำเป็น ถูกต้อง และจะเปิดผลดีต่างๆ นานา
วันนี้ ขอยกตัวอย่าง การถกเถียงเชิงนโยบายที่น่าสนใจ
1. นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี พรรคชาติพัฒนากล้าไปออกรายการช่อง 9 อสมท ว่าด้วยเรื่องนโยบายยกเลิกแบล็กลิสต์
หลังจากนั้น ก็ยังได้โพสต์ยืนยันผ่านเฟซบุ๊กว่า “ทำไมต้องยกเลิกแบล็กลิสต์?”
“เมื่อวานผมไปออกรายการ ฟังหูไว้หู ทางช่อง mcot ให้สัมภาษณ์เรื่องนโยบาย ยกเลิกแบล็กลิสต์
ผมย้ำว่าต้องรื้อระบบสินเชื่อ ทุกวันนี้การจัดเก็บข้อมูลเครดิตยังไม่ยุติธรรมกับคนทำมาหากิน
ต้องใช้ Credit Scoring ประวัติการชำระต่างๆ ไม่ว่าจะ การจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ มาเป็น “คะแนนดี” เพื่อใช้คำนวณในการปล่อยสินเชื่อแทน
ใครคะแนนดีก็กู้ได้มาก ใครคะแนนน้อยก็กู้ได้น้อย
ช่วยประชาชนได้ดอกเบี้ยที่เป็นธรรม นี่คือเหตุผลที่เราต้องยกเลิกแบล็กลิสต์”
2. หลังจากนั้น รศ.ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ Dr. Nuch Tantisantiwong นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง (อำนวยการฝ่ายอาวุโส ธนาคารแห่งหนึ่ง) ได้โพสต์วิพากษ์นโยบาย “ยกเลิกแบล็กลิสต์ ใช้เครดิตสกอริ่ง” ของพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมอ้างอิงถึงการนำเสนอของนายอรรถวิชช์ในรายการดังกล่าว โดยระบุว่า
“...บริษัทเครดิตบูโร มี Credit Score มานานหลายปีแล้วค่ะ
นโยบายนี้ มัน too late มากๆ ตอนแรกว่าจะโพสต์พรุ่งนี้แต่อดใจไม่ได้ เพราะในคลิปมีการให้ข้อมูลผิดพลาดเต็มไปหมด
เข้าประเด็นเลยละกันค่ะ
1. Credit score ไม่ใช่เรื่องใหม่ และบริษัทเครดิตบูโรเค้ามีมานานแล้ว
2. สถาบันการเงินไม่ได้ส่งข้อมูลการชำระหนี้และการเป็นหนี้ของลูกค้าที่มีการค้างชำระหนี้เท่านั้นค่ะ มันไม่มีระบบแบล็กลิสต์
มันเป็นการส่งข้อมูล facts คุณจะจ่ายงวดตรงเวลาหรือจ่ายไม่ตรง สถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกบริษัทเครดิตบูโรตามกฎหมาย มีหน้าที่ต้องส่งข้อมูลให้บริษัทเครดิตบูโรตามกฎหมายค่ะ
และการรายงานข้อมูล fact แบบนี้ ทำกันทั่วโลกค่ะ
3. การเสนอว่า จะไม่ให้สถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของบริษัทเครดิตบูโรตามกฎหมาย ได้รับข้อมูลพฤติกรรมการชำระหนี้ของลูกค้าเลย โดยจะให้สถาบันการเงินได้ไปแต่คะแนนที่คำนวณมาจากการคำนวณปนๆ หลายสิ่งอย่างเท่านั้น แล้วสถาบันการเงินทั้งหลายจะรู้ยอดหนี้คงค้างรวมทั้งหมดของคนขอกู้ภายในระบบการเงินไทยได้ยังไง จะเตรียมตัวรับมือได้ยังไงเมื่อลูกหนี้เริ่มไปค้างชำระที่สถาบันการเงินอื่น และตัวเองอาจจะกลายเป็นรายต่อไปที่ไม่ได้เงิน
ถ้าแก้ กฎหมาย เป็นแบบที่เสนอตามนโยบายนี้จริง สิ่งที่จะเกิดตามมา คือ คนจะไปขอกู้หลายสถาบันซ้อนๆ กันเยอะขึ้น
เพราะแต่ละสถาบันไม่รู้ภาระหนี้ที่มีอยู่ของลูกค้ารายนี้
สถาบันการเงินก็จะไม่กล้าปล่อยเพราะไม่รู้ว่าคนที่มาขอกู้ไปค้างหนี้ที่อื่นไว้เท่าไหร่
สิ่งที่เสนอปรับแก้กฎหมายมานั้น จะทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า asymmetric information ค่ะ
โดยหลักแล้ว asymmetric information จะก่อให้เกิด market failure หรือความล้มเหลวของตลาดค่ะ
4. ทุกสถาบันการเงิน เค้ามี credit scoring model ของตัวเค้าเองมากันหลาย 10 ปีแล้วค่ะ...
ก่อนเสนออะไรแบบนี้ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า credit scoring modelling มี 2 แบบค่ะ
1. แบบที่ใช้ข้อมูลการชำระหนี้และการเป็นหนี้ในอดีต เพื่อบอกถึงพฤติกรรมเสี่ยง เพราะมีสมมุติฐานว่าถ้าคนคนหนึ่งมีพฤติกรรมอย่างไรในอดีต ก็มีโอกาสมีพฤติกรรมแบบเดียวกันในอนาคต
อันนี้คือแบบที่ บริษัทเครดิตบูโรคำนวณอยู่ และสถาบันการเงินทั้งหลายก็สามารถซื้อข้อมูล credit score นี้ได้
score แบบนี้ของเครดิตบูโรไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลพฤติกรรมบนกิจกรรมชีวิตอื่นของคนหรือธุรกิจนั้น เช่น น้ำไฟ รายได้ อะไรอื่นมาประกอบ ... เพราะเป็นการใช้ข้อมูลเครดิตของแต่ละคนที่มีสินเชื่อหรือบัตรเครดิตที่มีอยู่ทั้งหมดในระบบการเงินไทยในการคำนวณ เรียกว่ามี full credit information
2. แบบที่ใช้ข้อมูลพฤติกรรมการชำระหนี้และยอดหนี้ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น รายได้ transaction อื่นๆ มาประกอบเพื่อทำนายโอกาสผิดนัดชำระหนี้จากความสามารถในการชำระหนี้ อันนี้เป็นการทำ credit scoring/rating ขององค์กรใดองค์กรหนึ่งที่ไม่ได้มีฐานข้อมูลระดับชาติ
... ที่ต้องใช้ข้อมูลปัจจัยอื่น ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำนาย ไม่ใช่เพื่อเป็นการปรับให้ credit score ดูบวก หรือดูดีขึ้น
นั่นเพราะว่าไม่ได้มีข้อมูลหนี้และการชำระหนี้ของคนคนนั้น ที่มีอยู่ในระบบการเงินไทยทั้งหมด มันยังมีอะไรที่ต้องทาย ต้องเดา ก็เอาปัจจัยอื่นมาช่วยทาย ช่วยเดา
และในปัจจุบัน credit score ของบริษัทเครดิตบูโร เค้าก็ไม่ได้ใช้แค่ข้อมูลหนี้และการชำระหนี้นะคะ เค้าใช้ข้อมูลประเภทอื่นด้วยเพื่อประเมินความเสี่ยงของธุรกิจ
... เพราะฉะนั้น ที่เสนอปรับแก้มาในคลิป มันช้าไปแล้วค่ะเค้าทำกันไปหมดแล้ว
และเรื่องแบล็กลิสต์เพียงเพราะผิดนัดชำระหนี้ครั้งเดียว มันไม่น่าจะเป็นเกณฑ์ที่เกี่ยวอะไรกับเครดิตบูโรค่ะ ไม่งั้นสถาบันการเงินทั้งหลายคงไม่เหลือคนให้ปล่อยกู้ได้แล้วค่ะ
โดยทั่วไป การจะปล่อยสินเชื่อให้คนที่เคยมีหนี้ค้างชำระหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการความเสี่ยงและการกำหนดระดับความเสี่ยงที่รับได้ของเหล่าสถาบันการเงินทั่วโลก ... เค้าเรียกว่า risk management ค่ะ ใครอื่นจะออกกฎบังคับให้ปล่อยหรือไม่ปล่อยสินเชื่อกลุ่มเสี่ยงได้คะ
ก่อนเสนอ ควรศึกษาข้อมูลเชิงลึก หรือมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องในปัจจุบัน เพื่อให้รู้สิ่งที่เป็นไปในปัจจุบัน เพื่อจะได้นำเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคต ไม่ใช่เพื่ออดีตที่ผ่านมาแล้ว”
3. หลังจากนั้น ปรากฏว่า นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดีได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“....ผมอยากให้พี่ๆ ผู้ชำนาญด้านการเงินการธนาคาร ช่วยกันคิดเรื่องความผิดปกติเรื่อง “ดอกเบี้ย และการเข้าถึงสินเชื่อที่เหมาะสมกับธุรกิจ” ช่วยสนับสนุนนโยบาย “ยกเลิกแบล็กลิสต์บูโร” เพื่อเป็นประตูบานแรก ในการปรับระบบสินเชื่อ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น
1.) “แบล็กลิสต์” มีจริง! มันคือรายงานข้อมูลของเครดิตบูโรให้ธนาคาร เป็นการรายงานถึงความด่างพร้อยตลอด 3 ปี คล้ายประวัติอาชญากรรม ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีรายชื่อบุคคลที่ห้ามปล่อยกู้ในรายงานเครดิตบูโร หรือไม่มีรายชื่อบุคคลที่ห้ามรับเข้าทำงานในรายงานอาชญากรรมเช่นกัน มันคือบันทึกรวมรอยด้างพร้อยดีบ้างไม่ดีบ้าง สภาพหลังโควิดมีคนถึง 5.5 ล้านคน ที่กู้ไม่ได้เพราะการบันทึกประวัติแบบนี้
2.) พรรคชาติพัฒนากล้า เสนอนโยบายแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ.2545 ให้เปลี่ยนจากการรายงานทุกความด่างพร้อยใน 3 ปี เป็นการ “แจ้งเป็นคะแนน” ที่ผ่านการประมวลมาแล้วเป็นระบบ Credit Scoring แก้เพื่อกฎหมายให้เอาร่องรอยทางการเงินอื่นๆ การจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ รายได้ประจำ เงินเข้าออกบัญชี การใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ ประมวลผลออกมาเป็นคะแนน ถ้าได้คะแนนมาก กู้ได้ดอกเบี้ยต่ำ ถ้าได้คะแนนน้อย กู้ได้ดอกเบี้ยสูงถ้าคะแนนต่ำมาก ก็กู้ไม่ได้ ระบบคะแนนมันชัดเจนกว่า ไม่ต้องถูกแช่แข็ง 3 ปี เหมือนระบบแบล็กลิสต์
การได้สินเชื่อที่เหมาะสมกับประเภทธุรกิจของตนเอง มันเป็นโอกาสที่สำคัญมาก ความต่างระหว่างดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี MRR 6.77% เทียบกับเงินกู้ที่เข้าถึงง่ายกว่า เร็วกว่าอย่างบัตรเครดิตสินเชื่อนาโนที่มีช่วงดอกเบี้ยตั้งแต่ 16 ถึง 33% หรือดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบเกินกว่า 100% ต่อปี มันช่างห่างไกล และน่าเห็นใจคนที่ขาดโอกาสจริงๆ
3.) สถาบันการเงินปลอดภัยภายใต้ระบบการให้คะแนนแบบ Credit Scoring เพราะมีข้อมูลรายได้ และร่องรอยทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ มากขึ้น มาใช้ในการให้คะแนน ซึ่งเร็วๆ นี้ ธนาคารในปัจจุบัน ก็จะต้องแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ Virtual Bank ธนาคารไร้สาขา ที่มาปล่อยสินเชื่อโดยใช้ข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งแพร่หลายมากในประเทศจีนและเกาหลีใต้ ดังนั้น การที่ให้ธนาคารได้พบกับระบบCredit Scoring ใหม่จะเป็นการเตรียมความพร้อมได้ดีขึ้นด้วย
4.) ผู้กู้ได้ความชัดเจนว่า ถูกปฏิเสธสินเชื่อเพราะเหตุใด ถ้าคะแนนสูงแต่กลับถูกปฏิเสธสินเชื่อ ก็แสดงว่าธนาคารดังกล่าวเน้นการลงทุนอย่างอื่น มากกว่าลงทุนโดยการปล่อยกู้ ซึ่งก็เป็นอำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทยจะสร้างสมดุลที่เหมาะสมต่อไป
5.) ธนาคารพาณิชย์เอกชนจะเกิดการแข่งขันกันมากยิ่งขึ้นในเรื่องสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ย ลดภาระสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐอาทิธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. อิสลาม SME EXIM
20 กว่าปีที่แล้ว สมัยที่ผมยังรับราชการที่กระทรวงการคลัง ได้มีโอกาสร่วมทำกฎหมาย การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิตด้วย ในยุคหลังวิกฤตการณ์ปี’40 ยุค IMF ธนาคารไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ จึงต้องมีการออกกฎหมาย ฉบับนี้ขึ้นด้วยหลักให้ธนาคาร “รู้จักลูกค้าให้ดีขึ้น” เพื่อให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ในยุคนั้นพยายามจะเอาข้อมูลอย่างอื่นนอกจากข้อมูลขอสินเชื่อเข้ามาคำนวณเป็นคะแนนด้วย แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะรัฐบาลไม่สนับสนุนให้เอาข้อมูลบุคคลด้านรายได้มาคำนวณด้วย
ต่างจากปัจจุบัน ที่ข้อมูลด้านรายได้อื่น พฤติกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ถูกบันทึกเอาไว้ผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ แล้ว รอแค่การแก้ไขกฎหมายให้นำเอาข้อมูลเหล่านั้นมาประมวลเป็นคะแนนได้เท่านั้น ซึ่งก็จะกลับเข้าหาหลักเดิมคือ ทำให้ผู้ปล่อยกู้รู้จักลูกค้าของตนเองได้ดีขึ้น
ผมขอฝากพี่ๆ ในวงการการเงิน การธนาคารช่วยกันทำให้ประเทศเราเป็น “ประเทศแห่งโอกาส” ให้ประชาชนของเราได้มีโอกาสพลิกฟื้นชีวิต การทำมาหากิน ทำให้ระบบการธนาคารมั่นคงเกิดการแข่งขันกันอย่างเสรีเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วยครับ”
4. นี่คือการถกเถียง วิเคราะห์ถึงนโยบายที่น่าสนใจอันหนึ่ง
ดีกว่าพรรคการเมืองจำพวกที่หาเสียงด้วยการโอ้อวดบิดาที่หนีคดีโกง จะเอาพ่อกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน
หรือขายฝันลอยๆ ขายวิสัยทัศน์ลดแลกแจกแถม หรือประเภทว่า แค่เปลี่ยนรัฐบาล ให้เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น โดยไม่มีรายละเอียดเชิงนโยบายที่น่าสนใจเลย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี