วันที่ 28 มกราคม ไปฟังการปราศรัยหาเสียงของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ทางพรรคโหมโฆษณาว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นปราศรัยเป็นครั้งแรกในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ การหาเสียงครั้งนี้จัดขึ้นที่หน้าเทศบาลเมืองชุมพร ก่อนขึ้นเวทีโฆษกพูดว่าลุงตู่เช่าเครื่องบินมาเอง
ก่อนหน้าที่ “ลุงตู่” ขึ้นเวที บังเอิญมีผู้ช่วยนักข่าวชาวญี่ปุ่น ของหนังสือพิมพ์ NIKkEI เดินเข้ามายกมือไหว้เธอดีใจมาก ที่ได้พบเราหลังเวทีปราศรัยและแนะนำให้หัวหน้า นายโตโยอะคิ ฟุจิวาระ ว่าเราเคยเป็นนักข่าวต่างประเทศ และทำข่าวการเมืองมานาน อยากให้หัวหน้าเธอ ได้สอบถามขอความเห็นจากเรา เพราะเห็นว่าพอสื่อภาษาอังกฤษกันได้
นายฟุจิวาระ เล่าให้เราฟังว่า การปราศรัยหาเสียงในประเทศญี่ปุ่นไม่มีคนฟังมากมายอย่างนี้ คือผู้ช่วยเขาแปลให้ฟังก่อนหน้าว่า ประชาชนมาฟังคำปราศรัยหมื่นกว่าคน แต่เราคิดว่าพื้นที่หน้าเทศบาลเมืองชุมพร กว้างยาวไม่เกิน 500 ตารางวา ไม่น่าจะมีคนมากเกินเจ็ดพัน อย่างไรตาม โฆษกในเวทีพูดว่าตั้งม้านั่งไว้หมื่นตัวตอนนี้ว่างอยู่ไม่กี่ตัว แต่พอได้ยินผู้ประกาศข่าวทีวีประเมินว่ามีคนมารอฟังลุงตู่ปราศรัยไม่น้อยกว่า 15,000 คน โฆษกในเวทีกลับคำใหม่ประกาศว่า วางม้านั่งไว้ 30,000 ตัวตอนนี้ว่างอยู่สองสามตัว...เอาละเรื่องจำนวนคนผ่านไป ให้โฆษกกับผู้ประกาศข่าวทีวีว่ากันตามสบายใจ เรากลับมาพูดเรื่องนักข่าวญี่ปุ่นกันต่อ
เมื่อนักข่าวญี่ปุ่นเริ่มต้นว่าในประเทศญี่ปุ่นส่วนใหญ่คนฟังปราศรัยหาเสียงเพียงมีหลักร้อยหลักพันเป็นอย่างมาก เราเลยอธิบายให้เขาเข้าใจว่าบริบทการเมืองประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทย ไม่เหมือนกัน คือพรรคการเมืองในประเทศญี่ปุ่น เขาปราศรัยให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งฟังแล้วนำไปพิจารณาว่าจะเลือกพรรคไหน
ส่วนการหาเสียงการเมืองระยะนี้ในประเทศไทย เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองเดินสายหาตัว/โชว์ตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.ในนามพรรค ดังนั้น ว่าที่ผู้สมัครจากเขตอื่น หรือจังหวัดอื่นที่ไกลออกไปก็ขนคนมารวมกันจุดนี้ เพื่อให้ลุงตู่ได้ครึ้มอกครึ้มใจว่ามีผู้สนับสนุนจำนวนมาก ดังนั้น การหาเสียงเลือกตั้งกับหาตัวผู้สมัครไม่เหมือนกัน ในประเทศญี่ปุ่นผู้สมัครไม่ต้องแสดงพลังให้พรรคมั่นใจ เพราะเขาต้องให้ความสำคัญแก่ผู้มีสิทธิออกเสียง และผู้สมัครในญี่ปุ่นก็ออกพบปะประชาชนเฉพาะในเขตเลือกตั้งนั้นๆมันจึงดูเหมือนว่าคนสนใจฟังคำปราศรัยน้อย
เราก็อธิบายให้เขาฟังต่อไปว่า พรรคการเมืองในญี่ปุ่นก็ไม่เหมือนกับพรรคการเมืองในประเทศไทย คือ สมมุติว่าพรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น ชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมาก หัวหน้าพรรคฯก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อนายกฯ ทำงานไปแล้วปัญหาเกิดอุปสรรคนายกฯลาออกพรรคเสรีประชาธิปไตยก็เลือกหัวหน้าพรรคใหม่ คนที่ได้เป็นหัวหน้าพรรคก็รับตำแหน่งนายกฯต่อไป นักการเมืองญี่ปุ่นที่แพ้การชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคก็ช่วยกันพัฒนาพรรคเสรีประชาธิปไตยต่อไป ซึ่งไม่เหมือนกับการแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในประเทศไทยที่นักการเมืองแพ้การแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแล้วส่วนใหญ่ลาออกไปตั้งพรรคใหม่ หรือ ย้ายไปเป็นหัวหน้าพรรคอื่น ประเทศไทยจึงหาพรรคที่เป็นสถาบันทางการเมืองแทบไม่ได้ ที่พอมีทำยาอยู่บ้างก็เห็นมีแต่พรรคประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียว
นายฟูจิวาระเมื่อพบว่า เรามีความคิดเห็นแตกต่างจากนักข่าวทั่วไป ก็ขอร้องให้เราช่วยแปลคำปราศรัยที่พอจะเป็นประเด็นนำไปเขียนเป็นข่าวได้ให้เขาฟัง เราทำหน้าที่เป็นผู้แปลคำปราศรัยให้นักข่าวญี่ปุ่นเหมือนกับที่เราเคยไปทำข่าวในกัมพูชา เมียนมา อินโดนีเซีย ปากีสถานและประเทศอื่นๆ ที่เราก็ต้องอาศัยคนในพื้นที่นั้นๆช่วยแปลให้
การปราศรัยของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในคืนนั้นก็เห็นมีแต่ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่พูดมีหลักการคือ ท่านพูดจับประเด็นแปลให้นักข่าวชาวญี่ปุ่นพอเข้าใจได้
ดร.ไตรรงค์ ท่านปราศรัยได้ดีมากราวกับว่า ท่านรู้ไส้รู้พุงนักการเมืองในประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมืองแถวนี้ ตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า “การเลือกครั้งต่อไปให้พี่น้องพิจารณาดีๆ อย่าเลือกนักการเมืองเปรตๆ เข้าสภา เพราะว่าปัจจุบันนี้เมืองไทยเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกวงการ ทั้งข้าราชการและนักการเมือง “เอาละ..สมมุติว่ามีงบประมาณ 100 ล้านบาทสร้างถนนเส้นหนึ่ง เงินที่ใช้สร้างถนนจริงเพียง 50 ล้านที่เหลือ 50 ล้านถูกนักการเมือง ข้าราชการคอร์รัปชั่นตกลงเงิน 50 ล้านเข้าไปอยู่ในพุงหมา” เราก็แปลให้นักข่าวญี่ปุ่นฟังตามที่ ดร.ไตรรงค์กล่าว
แต่ก็มีคำถามนักข่าวญี่ปุ่นว่า คุณรู้ไหมว่าใครเป็นผู้มีอำนาจอนุมัติและตรวจสอบการใช้งบประมาณในห้วงเวลาแปดปีที่ผ่านมา และตอนหนึ่ง ดร.ไตรรงค์กล่าวว่า “นักการเมืองเปรตๆ พวกนี้ผมรู้ทั้งเพว่าคนไหน กลุ่มไหนทำเรื่องระยำทำธุรกิจสีเทา คนไหนค้ายาเสพติด คนไหนเป็นเจ้าของบ่อนการพนัน คนไหนเป็นนักพนัน คนไหนค้าน้ำมันเถื่อน คนไหนกลุ่มไหนใช้อิทธิพลรีดไถรังนก เพราะฉะนั้นนักการเมืองอิทธิพล นักพนันอย่าเลือกมันเข้าสภา เพราะมันเอาเงินที่ได้จากบ่อนพนันและเงินสีเทา เอาเงินสกปรกเหล่านั้นมาซื้อเสียง ผมขอร้องพี่น้องอย่าเลือกนักการเมืองเปรตๆ พวกนี้”
ถึงตอนนี้เราสรุปคร่าวๆให้นักข่าวญี่ปุ่นพอเข้าใจ และเสริมว่า ดร.ไตรรงค์มีข้อมูลอย่างดี รู้ว่านักการเมืองกลุ่มไหนใช้อิทธิพลปล้นรังนก นักการเมืองกลุ่มไหนคุมบ่อนการพนัน ความจริงชาวบ้านก็รู้เรื่องเหล่านี้ดี แต่ ดร.ไตรรงค์ท่านมาเตือนสติอีกที จึงถือว่า ดร.ไตรรงค์มีอุดมการณ์มั่นคง เตือนสติชาวบ้านว่าอย่าเลือกนักการเมืองอิทธิพล อย่าเลือกนักการพนันที่ชาวบ้านรู้อยู่แล้วว่าเป็นนักการเมืองกลุ่มไหน
เมื่อถึงเวลาลุงตู่ขึ้นปราศรัย บอกตรงๆ ว่าแปลให้นักข่าวญี่ปุ่นฟังแทบไม่ได้ คือจับประเด็นไม่ถูกว่านายกฯต้องการจะเสนออะไร ลุงตู่ได้แจกหัวใจแจกความรักให้ชาวชุมพรตามสไตล์ที่ลุงตู่ทำตลอดมา จับความได้แต่ลุงตู่บอกว่า “จำโครงการบัตรประชารัฐและโครงการคนละครึ่งได้ไหม?” เมื่อกองเชียร์หน้าเวทีตอบว่าจำได้ ลุงตู่พูดต่อไปว่า “โครงการประชารัฐ โครงการคนละครึ่งและอื่นๆที่ทำมาแล้วถ้าผมได้เป็นรัฐบาลจะทำให้ดีกว่าที่ผ่านมา” ตอนหนึ่งลุงตู่พูดว่า “ผมจะพลิกฟื้นประเทศให้ดีขึ้นภายในสองปี” นอกจากนั้น“ลุงตู่”พูดเรื่องรถไฟรางคู่ 242 กม.ซึ่งทำในรัฐบาลนี้จากหัวหินมาชุมพร ซึ่งคาดว่าจะเปิดใช้ได้ภายในปีนี้ คือคำปราศรัยลุงตู่นึกอะไรได้ก็พูดออกมา มีอยู่ตอนหนึ่งชาวบ้านตะโกนถามเรื่องราคาปาล์มลุงตู่ตอบว่า“เอาไปเลยหกบาท” ซึ่งเป็นคำพูดลอยๆไม่มีรายละเอียดว่ามีมาตรการอย่างไรเอาเงินมาจากไหน เหมือนกับที่ลุงป้อมพูดเรื่องบัตรพลังประชารัฐว่าจะเพิ่มเป็นให้ 700 บาทต่อเดือน (จากปัจจุบันประมาณสองสามร้อยบาท) โดยที่ไม่มีรายละเอียดไม่มีมาตรการ ไม่มีหลักการว่า เงินเป็นแสนล้านบาทเอามาจากงบประมาณส่วนไหน แต่ 700 มันกลายมาเป็นสโลแกนหาเสียงพรรคพลังประชารัฐ ว่า “ป้อมเจ็ดร้อย”
เราเลยบอกกับนักข่าวญี่ปุ่นว่าคำพูดลอยๆ ที่นักการเมืองไทยพูดเอาใจชาวบ้านนั้นมันเป็นนโยบายที่ฝรั่งเรียกว่า Toilet policy คือตอนนั่งขับถ่ายในส้วมแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ก็พูดออกไปก่อนจะศึกษาความเป็นไปได้ ก่อนประกาศออกมาเป็นสัญญาประชาคม ซึ่งเหมือนกับที่พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายขึ้นค่าแรง 600 บาท หรือพรรคไทยสร้างไทยมีนโยบายให้เบี้ยเลี้ยงคนชราเดือนละ 3,000 บาท ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็น Toilet policy
นักข่าวญี่ปุ่นสงสัยว่า การเมืองไทยไม่มีอะไรยั่งยืนเลยหรือ เราบอกว่า มีพรรคการเมืองในประเทศที่เป็นสถาบันก็มีและมีก่อนในประเทศเมืองญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น ปชป.ที่ยืนหยัดมายาวนานกว่าแปดสิบปี และเป็นพรรคที่มีแผนการวางโครงระยะยาวซึ่งมีกรรมการร่วมกันวางแผนเป็นทีม เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟเชื่อมประเทศไทยกับ สปป.ลาว
โครงการเงินกู้เพื่อการศึกษา หรือ แม้แต่รัฐสวัสดิการเบี้ยเลี้ยงคนชรา คนชรารักษาฟรี การพัฒนาบุคลากรของชาติเรื่องการศึกษา เรื่องนมโรงเรียน เรื่องอาหารกลางวันฟรีตลอดถึงโครงสร้างพื้นฐาน ยกตัวอย่างเช่น เส้นทางมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี ปชป.ริเริ่มก่อนใคร หรือ ถนนสี่เลนในภาคใต้ล้วนแต่ริเริ่มในสมัย ปชป.เป็นรัฐบาลทั้งนั้น แต่ ปชป.มีจุดอ่อนเรื่องประชาสัมพันธ์ มีจุดอ่อนออกข่าวไม่หวือหวา และ ปชป. ไม่ได้เป็นเจ้าของสื่อ เหมือนที่บางพรรคใช้นอมินี ถือหุ้นใหญ่ในองค์การข่าว ปชป.ไม่มีหนังสือพิมพ์ในสังกัด ที่สำคัญหัวหน้าพรรค ปชป.ไม่มีเจ้าของทีวีที่เป็นสหายร่วมรบในระหว่างเดินขบวนขับไล่ทรราชพลเรือนช่วยเสนอข่าวเชียร์ให้ ปชป.จึงไม่เป็นที่สนใจของสื่อต่างประเทศเหมือนคุณมาทำข่าววันนี้
ถึงตอนนี้นายฟูจิวาระ งงเป็นไก่ตาแตก เราคุยกันนานจนการปราศรัยจบลง เลยบอกว่า แยกย้ายกันกลับไว้วันหน้า ถ้ายังไม่เบื่อเรื่องสื่อ เรื่องพรรคการเมืองในประเทศไทย เราพูดกันได้เจ็ดวันเจ็ดคืนไม่จบ ก่อนจากเราถือโอกาสประชาสัมพันธ์คอลัมน์ทวนกระแสข่าว
ในแนวหน้า ให้ผู้ช่วยนักข่าวญี่ปุ่นติดตามอ่าน และบอกเธอว่า คอลัมน์ ทวนกระแสข่าว มีความเห็นไม่เหมือนสื่อไทยทั่วไป ถ้าอยากรู้ข้อมูลที่แตกต่าง หรือชอบของแปลกให้อ่าน ทวนกระแสข่าว ในแนวหน้า
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี