ขบวนการเคลื่อนไหวกดดันคุกคาม บิดเบือนโจมตีศาลยุติธรรม เพื่อแซะสถาบันกษัตริย์ กำลังเหิมเกริม
จากกรณี ตะวัน-แบม ผู้ต้องหาคดี 112 ได้ขอถอนประกันตัวเอง และอดอาหารประท้วงนั้น มีข้อเรียกร้อง 3 ประการ คือ ต้องมีการปฏิรูปศาลยุติธรรม ยุติการดำเนินคดีการเมือง (โมเมรวมเอาคดี 112 ด้วย ทั้งๆ ที่ หลายคดีการกระทำผิดชัดเจน รุนแรง หยาบช้ามาก) และบังคับว่าพรรคการเมืองทุกพรรคต้องเสนอนโยบายยกเลิก ม.112 และ ม.116
หลงคิดว่า ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ จะรู้ไม่ทัน
1. ม็อบ 3 นิ้วแผ่วบาง เมื่อคนเริ่มเห็นว่า เอาข้อมูลเท็จมาสาดโคลนใส่สถาบันมากมาย สารพัดเรื่อง (อาทิ สาวน่าน แอร์ไม่เย็นคอมเพล็กซ์นางเลิ้ง งบสถาบัน ฯลฯ)
แกนนำสามนิ้วจวนติดคุกหัวโตเต็มที เพราะคดีงวดเข้ามาแล้วใกล้จะมีคำพิพากษาคดีสำคัญๆ
ต้องใช้นักเคลื่อนไหวโนเนม ไม่เคยมีผลงานทางสังคมอะไรเลย เอาเด็กมาปั้นเป็นแกนนำ ยกยอปอปั้น ปั่นดราม่า
จากนั้น ก็อาศัยเด็กเป็นเครื่องมือ ดันออกหน้า หวังโจมตี บ่อนทำลาย แซะสถาบันกษัตริย์ ตามแนวทางข้อเรียกร้องเดิมที่อ้างว่าปฏิรูปสถาบัน แต่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ไปแล้วว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง สั่งห้ามไปแล้ว
ใช้กิจกรรมให้เด็กปั้นอดข้าวอดน้ำประท้วง ซึ่งพอถูกจับได้ว่าไม่ได้อดน้ำจริง ก็ยอมรับว่าจิบน้ำตามคำขอของหมอ ฯลฯ
เป็นวังวนเดิมๆ ไม่อะไรใหม่เลย
ตัวละครก็เดิมๆ ทั้งนักกิจกรรม กลุ่มเอ็นจีโอ นักการเมือง พรรคการเมือง หน้าเดิมๆ ทั้งนั้น
2. ขบวนการปั่นกระแส โจมตีศาลยุติธรรม ทั้งในสภาในสื่อแนวร่วม ในสื่อโซเชียลของเครือข่าย อินฟลูฯ เดิมๆ
พยายามวาดภาพบิดเบือนเสมือนศาลยุติธรรมไร้ความเมตตา ไม่ให้สิทธิประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย ฯลฯ
ถือเป็นการบิดเบือนโจมตีอย่างหน้าด้านที่สุด
ขอชื่นชมสื่ออย่างสถานีโทรทัศน์ช่องท็อปนิวส์ ที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา ตีแผ่เกมฉ้อฉล และให้ข้อมูลความจริงแก่สังคม โดยนำเสนอข้อมูลที่โฆษกศาลยุติธรรม แจกแจงโดยละเอียด เป็นขั้นตอน มีเหตุผลรองรับ
ทำให้เห็นชัดเจนว่า ศาลยุติธรรมดำเนินการอย่างมีเหตุผลรองรับ บนพื้นฐานกฎหมายอย่างไร
นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงกรณีวันที่ 16 มกราคม 2566 ศาลอาญามีคำสั่งยกเลิกการปล่อยชั่วคราวนางสาว ท.และนางสาว อ. ผู้ต้องหาในคดี มาตรา 112
2.1 ศาลยุติธรรมมีหน้าที่ตามกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้เสียหาย ผู้ต้องหา และจำเลยในคดีอาญา ควบคู่ไปกับการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม การพิจารณาปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย ศาลจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทุกคดี และศาลถือหลักการไม่ปล่อยชั่วคราวเป็นข้อยกเว้น ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฯลฯ
กำหนดให้ศาลต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความหนักเบาแห่งข้อหา พยานหลักฐานที่ปรากฏ พฤติการณ์แห่งคดี ตลอดจนภัยอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดจากการปล่อยชั่วคราว
การพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว และการกำหนดเงื่อนไขอย่างใดในแต่ละคดีเป็นการใช้ดุลพินิจโดยอิสระขององค์คณะผู้พิพากษาตามกฎหมายภายใต้หลักประกันความอิสระของฝ่ายตุลาการ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งศาลมีระบบตรวจสอบและป้องกัน การแทรกแซงการทำหน้าที่ขององค์คณะผู้พิพากษาที่เข้มแข็งในระบบศาลยุติธรรมไม่มีผู้ใดมีอำนาจสั่งการองค์คณะผู้พิพากษาในการวินิจฉัยคดีได้
เมื่อมีการขอปล่อยชั่วคราว และเข้าเกณฑ์ที่จะอนุญาต ศาลจะมีคำสั่งปล่อยชั่วคราว โดยวางเงื่อนไขหรือวิธีการที่เหมาะสมและได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ให้ผู้ต้องหาปฏิบัติในระหว่างที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น การกำหนดข้อห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมบางอย่าง การห้ามเข้าหรือห้ามออกจากสถานที่ การแต่งตั้งผู้กำกับดูแล การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (กำไล EM) หรือการเรียกหลักประกัน เป็นต้น
ดุลพินิจของศาลในการสั่งคดี มีการตรวจสอบตามลำดับชั้นศาลในทางวิธีพิจารณาคดี คดีนี้ หากศาลอาญาไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ผู้ต้องหาก็มีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ได้
2.2 ปล่อยตัวชั่วคราวแล้วทำผิดซ้ำซาก นักการเมืองถือหาง
โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงว่า กรณีนางสาว ท. พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามมิให้ผู้ต้องหากระทำการในลักษณะแบบเดียวกับที่ถูกกล่าวหา หรือเข้าร่วมในกิจกรรมใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และให้ติดกำไล EM (โดยความยินยอมของผู้ต้องหา)
คำสั่งศาลอาญานี้ เป็นกรณีที่ศาลเห็นว่า คดีมีเหตุที่จะออกหมายขังได้ตามกฎหมาย แต่สมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยกำหนดเงื่อนไขให้นางสาว ท. ปฏิบัติ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการไปก่อเหตุต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น
ต่อมา วันที่ 18 มีนาคม 2565 พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางสาว ท. ได้ทำกิจกรรมที่เข้าข่ายเป็นการผิดเงื่อนไข
ศาลไต่สวนแล้วพบว่า นางสาว ท. ปฏิบัติผิดเงื่อนไขจริง จึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ใช้ตำแหน่งยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนางสาว ท. โดยนางสาว ท.และนายพิธายืนยันรับที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดทุกประการ
ศาลจึงมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวอีกครั้ง โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกเคหสถาน เว้นแต่เป็นกรณีเจ็บป่วยหรือได้รับอนุญาตจากศาล ห้ามทำกิจกรรมในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหาให้ติดกำไล EM (โดยความยินยอมของผู้ต้องหา) และให้ตั้งนายพิธาเป็นผู้กำกับดูแลนางสาว ท.
เงื่อนไขที่ศาลกำหนดดังกล่าว ศาลกำหนดให้ใช้แก่คดีต่างๆ มามากแล้ว มิใช่เจาะจงใช้เฉพาะแก่คดีนี้หรือคดีกลุ่มนี้ และเป็นการกำหนดตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น การติดกำไล EM ก็ดำเนินการภายใต้ความยินยอมของผู้ต้องหาให้ติดได้ การห้ามออกนอกเคหสถานหรือห้ามกระทำการในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหา ก็เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการปล่อยชั่วคราว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 วรรคสาม
ในความเป็นจริง แม้นางสาว ท. จะยินยอมสวมกำไล EM และยอมรับเงื่อนไขห้ามออกนอกเคหสถาน แต่ก็ได้รับอนุญาตจากศาลให้ไปทำกิจธุระหรือแม้แต่การไปเที่ยวพักผ่อนได้ตามสมควร ซึ่งนางสาว ท. ได้ขออนุญาตศาลไปทำกิจธุระรวม 19 ครั้ง ศาลอาญาได้พิจารณาอนุญาตถึง 14 ครั้ง เช่น นำคอมพิวเตอร์ไปซ่อม ทำบัตรประจำตัวประชาชน ตัดชุดกระโปรงนักศึกษา ซื้อเอกสารประกอบการเรียน ไปเที่ยวจังหวัดระยอง เล่นเกม ฉลองหลังสอบเสร็จ ชมงานศิลปะ แต่ที่ศาลไม่อนุญาตเพียง 5 ครั้ง ด้วยเหตุกิจกรรมที่ขออนุญาตไปดำเนินการ มีลักษณะที่จะผิดเงื่อนไขในการปล่อยชั่วคราว
การนัดไต่สวนกรณีผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวของนางสาว ท.นั้น เป็นเรื่องที่ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ในคดีที่มีการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ต้องหาไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจดำเนินการไต่สวนเพื่อให้ทราบว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์เช่นนั้นจริงหรือไม่ และสมควรที่จะเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวหรือไม่ทุกคดีไป
กรณีของนางสาว ท. ศาลนัดไต่สวนเพื่อพิจารณาเรื่องการผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราววันที่ 1 มีนาคม 2566
แต่เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2566 นางสาว ท. และนางสาว อ. ทำกิจกรรมหน้าศาลอาญา แล้วยื่นคำร้องขอยกเลิกการปล่อยชั่วคราวตนเอง
ศาลอาญาจึงมีคำสั่งไปตามที่ผู้ต้องหาประสงค์ เพราะพฤติการณ์ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏเข้าเกณฑ์เป็นกรณีผู้ต้องหาแสดงเจตนาว่าไม่อาจปฏิบัติตามเงื่อนไขของการปล่อยชั่วคราวตามที่ผู้ต้องหาและผู้กำกับดูแลรับรองกับศาลไว้ได้ อันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่มีขึ้นเพื่อป้องกันภัยอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการปล่อยชั่วคราวตามกฎหมาย
เมื่อมีการยกเลิกการปล่อยชั่วคราวและศาลมีคำสั่งออกหมายขังแล้ว จึงไม่ต้องมีการไต่สวนอีก
โฆษกศาลยุติธรรมย้ำว่า กระบวนการไต่สวนและการมีคำสั่งออกหมายขังหรือปล่อยชั่วคราว เป็นการใช้ดุลพินิจโดยอิสระของผู้พิพากษา ปราศจากการแทรกแซงใด ๆ ทั้งเป็นไปภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยข้อเท็จจริงในลักษณะเดียวกันก็จะมีการพิจารณาดำเนินการไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกันทุกคดี ทั้งนี้ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปโดยเสมอภาคและเป็นธรรม อันจะดำรงไว้ซึ่งหลักความเป็นนิติรัฐและนิติธรรมต่อไป
3. การอ้างหลักการว่า “ทุกคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญา จะต้องได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าผิดจริง (innocent until proven guilty)”
ปัจจุบัน ผู้ต้องหาคดี 112 และคดีอาญาอื่น ก็อยู่ภายใต้หลักการนี้และจำเลยในคดีมาตรา 112 จำนวนมากก็ได้รับการประกันตัว
แต่จำเลยได้รับการประกันตัวแล้ว จะปล่อยให้จำเลยใช้โอกาสนี้ก่อเหตุซ้ำซาก ไม่เคารพยำเกรงในกฎหมายบ้านเมือง หาได้ไม่
จะเห็นได้ว่า แกนนำ 3 นิ้วตัวหลัก ก็ได้ประกันออกมาแล้วปัจจุบันก็ไม่ก่อเหตุซ้ำซาก ก็ยังไม่ถูกถอนประกัน
4. สิทธิในการประกันตัว หรือการขอปล่อยชั่วคราวนั้น เป็นไปในประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญามาตรา 108 บัญญัติว่า
“ในการวินิจฉัยคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราว ต้องพิจารณาข้อเหล่านี้ประกอบ (1) ความหนักเบาแห่งข้อหา (2) พยานหลักฐานที่ปรากฏแล้วมีเพียงใด (3) พฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดีเป็นอย่างไร (4) เชื่อถือผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันได้เพียงใด(5) ผู้ต้องหาหรือจำเลยน่าจะหลบหนีหรือไม่ (6) ภัยอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดจากการปล่อยชั่วคราวมีเพียงใดหรือไม่ (7) ในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องขังตามหมายศาล ถ้ามีคำคัดค้านของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ โจทก์ หรือผู้เสียหาย แล้วแต่กรณี ศาลพึงรับประกอบการวินิจฉัยได้
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจสั่งให้ปล่อยชั่วคราวหรือศาลอาจรับฟังข้อเท็จจริง รายงานหรือความเห็นของเจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายกำหนดให้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวกับการนั้นเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งคำร้องด้วยก็ได้
ในการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจสั่งให้ปล่อยชั่วคราวหรือศาลจะกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับที่อยู่หรือเงื่อนไขอื่นใดให้ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวปฏิบัติ หรือในกรณีที่ผู้นั้นยินยอมจะสั่งให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดที่สามารถใช้ตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทางของผู้ถูกปล่อยชั่วคราวก็ได้ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการหลบหนี หรือภัยอันตราย หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แต่ถ้าผู้ถูกปล่อยชั่วคราวมีอายุไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์ แม้ผู้นั้นยินยอม จะสั่งให้ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวได้ต่อเมื่อผู้นั้นมีพฤติการณ์ที่อาจเป็นภัยต่อบุคคลอื่นอย่างร้ายแรง หรือมีเหตุสมควรประการอื่น”
กรณีจะไม่ให้ประกันตัว ก็เมื่อเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108/1 คือ “การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว จะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้ (1)ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี (2) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน (3) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น (4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ (5) การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล...”
นี่คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่ใช้เป็นการทั่วไปในคดีอาญา
จึงชัดเจนว่า การพยายามสร้างความสับสนวุ่นวายในขณะนี้ เพื่อโจมตีศาลยุติธรรม บ่อนทำลายมาตรา 112 กัดแซะสถาบันเบื้องสูง โดยเครือข่ายม็อบสามนิ้ว ผนึกการเมืองสามานย์แซะสถาบัน
ประชาชนส่วนใหญ่รู้เท่าทัน จึงไม่สนับสนุน และสมเพชเวทนากับนักการเมืองพรรคการเมืองที่พยายามเข้าไปโอบอุ้มหวังผลทางการเมือง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี