กรณีอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) สนธิกำลังเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าจับกุมและดำเนินคดีฐานเรียกรับเงินจากหัวหน้าหน่วยงานภาคสนาม
โดยมีการล่อซื้อ มีการติดกล้องวงจรปิด ตำรวจตามเข้าไปค้นพบเงินสดบนโต๊ะทำงาน และห้องแต่งตัว ประมาณ 5 ล้านบาท
นายรัชฎา อยู่ระหว่างถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง และให้ออกราชการไว้ก่อน
ป.ป.ช.กำลังไต่สวนเรื่องนี้
ปรากฏว่า มีการรุกกลับ จากฝ่ายนายรัชฎาบ้างแล้ว
1. สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2566 นายรัชฎา ได้ยื่นฟ้องคดีความอาญา พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. กับพวก รวม 7 คน เป็นจำเลย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
ยืนยันว่า ตนเองถูกจัดฉาก กลั่นแกล้งเล่นงาน ทำให้เกิดความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง
ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ความผิดต่อเสรีภาพ,ทำพยานหลักฐานเท็จฯ, เจ้าพนักงานแกล้งให้ต้องรับโทษ บุกรุก ซ่องโจร ผิดพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 จากกรณีการถูกจับกุมเรียกรับเงินจากหัวหน้าหน่วยงานภาคสนามดังกล่าว โดยในคำฟ้องของ นายรัชฎาอ้างว่า จำเลยทั้งหมด มีการวางแผนพูดคุยล่อให้ตนตกลงรับเงิน และยังมีการเผยแพร่ข้อมูลบันทึกวีดีโอให้สื่อมวลชนนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทำให้ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ขอให้ศาลออกหมายนัดและเรียกจำเลยทั้งหมดมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมาย
เรื่องราวที่นายรัชฎากล่าวอ้างต่อศาลในการฟ้องร้องนั้น เป็นหนังคนละเรื่องกันเลยกับที่ตัวเขาถูกดำเนินคดีอยู่
จะเป็นแค่ “การฟ้องแก้เกี้ยว” หรือ “เป็นความจริง” คงต้องไปพิสูจน์กันในชั้นศาลต่อไป
2. ตัวละคนหลักที่นายรัชฎายื่นฟ้อง นอกจากตำรวจที่เข้าตรวจค้นในวันนั้นแล้ว ยังมีนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 จังหวัดอุบลราชธานี
ท้องเรื่องตามข้อกล่าวหาในฟ้องของนายรัชฎา คือ กล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 นั้น จำเลยทั้ง 7 คน ได้ร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำ
โดยให้จำเลยที่ 7 (นายชัยวัฒน์) เข้าไปขอพบโจทก์(นายรัชฎา) ณ ห้องทำงานที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
เพื่อให้จำเลยที่ 7 (นายชัยวัฒน์) นำเงินที่บรรจุอยู่ภายในซองสีขาวซองละ 43,000 บาท จำนวน 2 ซอง และซองละ 12,000 บาทจำนวน 1 ซอง
รวม 3 ซองเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 98,000 บาท
นำมาส่งมอบให้โจทก์ เพื่อจำเลยที่เหลือ และเจ้าหน้าที่ของรัฐหน่วยงานอื่นดังกล่าว จะได้เข้าตรวจค้นจับกุม ตามที่จำเลยที่ 7 จะได้ส่งสัญญาณให้เข้าตรวจค้นจับกุมตามแผนการที่วางไว้
ต่อมา พวกจำเลยได้ให้จำเลยที่ 7 (นายชัยวัฒน์) ขอเข้าพบโจทก์ณ ห้องทำงานส่วนตัวที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชอันเป็นที่รโหฐานโดยไม่ได้มีการนัดหมายกับโจทก์มาก่อน
ขณะขอเข้าพบโจทก์นั้น พวกจำเลยได้จัดให้จำเลยที่ 7 (นายชัยวัฒน์) แอบติดกล้องบันทึกภาพและเสียงไว้ที่ตัว เพื่อบันทึกภาพและเสียงขณะพูดคุยสนทนากับโจทก์
โดยขณะเข้าพบพูดคุยกับโจทก์ตามแผนการของจำเลยทั้งเจ็ดดังกล่าว จำเลยที่ 7 (นายชัยวัฒน์) ได้พยายามพูดคุยชักจูงใจให้โจทก์ตกลงเรียก รับ หรือยอมจะรับเงินจากข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาผู้มีตำแหน่งหรือชื่อตามที่จำเลยที่ 7 (นายชัยวัฒน์) สนทนาถึงหลายราย
โดยจำเลยที่ 7 (นายชัยวัฒน์) ได้พูดคุยล่อให้โจทก์ตกลงรับเงินหรือกำหนดจำนวนเงินหรือเปอร์เซ็นต์ของเงิน เพื่อเรียกรับเอาจากผู้มีตำแหน่งหรือชื่อดังกล่าว อันเป็นการจูงใจให้โจทก์ ในฐานะเป็นอธิบดีกรมอุทยานฯ ซึ่งถือเป็นเจ้าพนักงาน กระทำการ ไม่กระทำการหรือประวิงการกระทำโดยมิชอบด้วยหน้าที่
แต่โจทก์ (นายรัชฎา) ได้ปฏิเสธและไม่ตกลงด้วย
และในระหว่างพูดคุยนั้น จำเลยที่ 7 (นายชัยวัฒน์)ได้พยายามส่งมอบซองสีขาวทั้งสามซองที่มีเงินบรรจุอยู่ภายในซองดังกล่าวเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 98,000 บาท ให้แก่โจทก์
ซึ่งขณะนั้นโจทก์ก็ไม่ทราบว่าภายในซองสีขาวทั้งสามซองนั้นมีสิ่งของใดบรรจุอยู่ภายใน เนื่องจากจำเลยที่ 7 (นายชัยวัฒน์) ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ ทั้งไม่ได้เปิดซองสีขาวทั้งสามซองให้โจทก์ดู โจทก์จึงไม่อาจทราบได้ว่าภายในซองสีขาวที่พยายามส่งมอบให้แก่โจทก์นั้นมีสิ่งของใดอยู่ภายใน แต่โจทก์ก็ได้ปฏิเสธไม่รับซองทั้งสามดังกล่าว
ตลอดระยะเวลาในพุดคุยสนทนานั้น จำเลยที่ 7 (นายชัยวัฒน์)ได้แอบบันทึกภาพและเสียงการสนทนาเก็บไว้เป็นพยานหลักฐานตามแผนการที่จำเลยทั้งเจ็ดได้วางไว้ ซึ่งโจทก์ไม่ได้ทราบถึงการบันทึกภาพและเสียงดังกล่าวด้วย
จนกระทั่งเมื่อจำเลยที่ 7 (นายชัยวัฒน์) เดินออกไปจากห้องทำงานของโจทก์ โจทก์พบว่าจำเลยที่ 7 (นายชัยวัฒน์) ได้วางซองสีขาวทั้งสามซองนั้นไว้บนโต๊ะทำงานโจทก์
โจทก์จึงนำซองสีขาวทั้งสามซองนั้นมาเก็บไว้เพื่อส่งมอบคืนให้แก่จำเลยที่ 7
แต่ทันใดนั้น จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นได้ร่วมกันบุกรุกกรูกันเข้ามาภายในห้องทำงานของโจทก์ แล้วร่วมกันจับกุมโจทก์ ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินเป็นเงินที่อยู่ภายในซองทั้งสามซองดังกล่าว รวมจำนวน 98,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และเป็น
เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ตามแผนการที่จำเลยทั้งเจ็ดได้วางไว้พร้อมกับตรวจคันยึดซองสีขาวทั้งสามซองที่บรรจุเงินอยู่ภายในรวมจำนวน 98,000 บาทดังกล่าวไว้เป็นพยานหลักฐาน...
ข้างต้น คือเรื่องราวบางส่วน ในคำฟ้องของนายรัชฎาที่ชิงดำเนินคดีกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ ปปป. และนายชัยวัฒน์ ก่อนที่คดีที่ตนเองตกเป็นผู้ต้องหา จะไปถึงชั้นศาล
3. ฝ่ายนายรัชฎา ยังนำเสนอประเด็นข้อกฎหมายไปด้วย เช่น
การบุกรุกเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของโจทก์ ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ อันเป็นที่รโหฐาน โดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งของศาลโดยฝ่ายโจทก์มิได้กระทำความผิดซึ่งหน้า
การตรวจค้นจับกุม โดยร่วมกันบันทึกวีดีโอไว้เป็นภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงในขณะตรวจค้นจับกุม แล้วปล่อยให้มีการเปิดเผยเผยแพร่ข้อมูลบันทึกวีดีโอที่เป็นภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงดังกล่าวที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของโจทก์ปรากฏอยู่ อันจะต้องเก็บรวบรวมไว้เป็นพยานหลักฐานในสำนวนคดีและต้องเป็นความลับในราชการ โดยการเปิดเผยเผยแพร่ดังกล่าวไม่ได้รับความยินยอมตามกฎหมายจากโจทก์ก่อน เป็นเหตุให้ในวันดังกล่าวมีนักข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ ได้นำพยานหลักฐานบันทึกวีดีโอที่เป็นภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนเป็นการทั่วไป ทำให้ประชาชนทราบและเชื่อว่าโจทก์กระทำความผิดตามที่ได้ถูกจับกุม โจทก์จึงได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังและเกิดความเสียหายแก่วงศ์ตระกูลอย่างหาที่สุดมิได้ ฯลฯ
ประเด็นข้างต้น อาจกระทบกับการจับกุม การรวบรวมหลักฐาน และการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนด้วย
แต่สิ่งสำคัญ คือ การทำหน้าที่ของสื่อได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และกรณีนี้เป็นเรื่องใหญ่ เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ มิฉะนั้น สื่อก็คงได้แต่เล่นข่าวใบ้หวย ดาราคบหากัน-เลิกรากัน ฯลฯ
4. ล่าสุด (7 ก.พ.) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 กล่าวว่า ไม่กังวลกรณีที่รัชฎาไปยื่นฟ้องดำเนินคดี เพราะตนมีพยานหลักฐานยืนยันทั้งหมดว่าเป็นการเรียกรับสินบนจริง
นอกจากนี้ นายชัยวัฒน์เปิดเผยว่า ได้แจ้งความต่อ ปปป.อีก 2 เรื่อง คือ
การแจ้งความเอาผิดปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 วรรค 2 กลั่นแกล้งให้ผู้อื่นต้องรับโทษทางอาญา จากกรณีที่ นายชัยวัฒน์ถูกร้องเรียนกล่าวหาว่าทุจริตโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อนในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน โดยกล่าวหาว่าไม่มีการปลูกป่าจริง ซึ่งกระทรวงทรัพยากรฯได้เคยตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไปแล้ว ซึ่งในระหว่างนั้นไม่มีการแสวงหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ไม่รับฟังพยานหลักฐานหรือคำชี้แจ้งจากตัวเอง และไม่มีการลงพื้นที่ไปตรวจแปลงที่ปลูกป่าจริง
และการดำเนินคดีอาญากับคณะกรรมการ ป.ป.ท. ในความผิดตามมาตราประมวลกฎหมายอาญา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และประมวลกฎหมายอาญาตามมาตรา 200 วรรค 2 กลั่นแกล้งให้บุคคลอื่นได้รับได้รับโทษทางอาญา ประธานและคณะกรรมการ รวม 12 คน จากกรณีที่คณะกรรมการชุดดังกล่าวทำการไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดตัวเองเกี่ยวกับคดีการเผาไล่ที่กะเหรี่ยงบ้านบางกลอย จนเป็นเหตุให้ต้องถูกให้ออกจากราชการ ซึ่งมองว่าการชี้มูลของคณะกรรมการดังกล่าว ไม่แสวงหาข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนรอบด้าน จนเป็นเหตุให้ตัวเองได้รับความเสียหายต่อตำแหน่ง ซึ่งภายหลังศาลจังหวัดเพชรบุรีมีคำสั่งคุ้มครองตนเองได้กลับเข้ามารับราชการอีกครั้งจึงกลับมาฟ้อง
แจ้งความเอาผิดคณะกรรมการชุดนี้
“หลังผมออกมาเปิดโปงการเรียกรับสินบน ของอดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ เมื่อไม่นานนี้ ทำให้เรื่องของการตั้งคณะกรรมการสอบถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง และทราบว่า จะมีการชี้มูลความผิดในเร็วๆ นี้จึงมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เพื่อเอาผิดคณะกรรมการดังกล่าว” นายชัยวัฒน์ กล่าว
5. จะเห็นได้ว่า งานนี้ “ซัดกันนัว” สู้กันตายไปข้าง!
ใครผิด-ใครถูก เมื่อทุกฝ่ายล้วนยืนยันว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก?
สุดท้าย จึงต้องว่ากันตามกระบวนการยุติธรรม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี