พฤติกรรมที่แสดงออกระหว่างในห้องสัปปายะสภาสถาน รัฐสภา ระหว่างการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติที่ “สุทิน คลังแสง สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย” เสนอชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล”ให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งผ่านการทำประชามติจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 16.8 ล้านเสียง
อากัปกิริยาท่าทางการกระชากบัตรประจำตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก่อนที่จะฟาดลงบนโต๊ะตอนทราบมติของศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นเอกฉันท์รับคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.ขอให้วินิจฉัยสถานภาพความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” กรณีถือหุ้นบริษัทไอทีวี 42,000 หุ้น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง มาตรา 98 อนุมาตรา 3
พร้อมมติ 7 ต่อ 2 ให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่งและสั่งให้ “พิธา” ชี้แจงข้อกล่าวหานี้ภายใน 15 วัน
ทั้งหมดคือกระบวนการพิจารณาตามปกติตามขั้นตอนที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพวก อาทิ “ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล”และบรรดาสส.ของพรรคมายืนเรียงกันหน้าสลอนแสร้งจัดแถลงข่าวกล่าวหาการทำงานขององค์กรอิสระอย่าง กกต. ดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นตามระเบียบกกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด
ทั้งที่ข้อกล่าวหานั้นมันคืออำนาจหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งนายพิธา, นายชัยธวัช และสส.ก้าวไกลที่มีมือกฎหมายมีอาจารย์สอนกฎหมายอยู่ในทีมทราบข้อเท็จจริงดี แต่หลอกตัวเองลวงด้อมส้มให้หลงละเมอว่าเป็นกระบวนการกลั่นแกล้ง เพื่อให้ “พิธาคิโอ้” ตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นสู่เก้าอี้ “นายกรัฐมนตรีคนที่ 30ของประเทศไทย”
“นายพิธาและสมาชิกพรรคก้าวไกล” รวมทั้งกองเชียร์ “ด้อมส้ม” ทั้งหลายจำได้หรือไม่ว่า เมื่อครั้ง “ฯพณฯ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสอง ประกอบมาตรา 185 วรรคสี่ หรือไม่ กรณีดำรงตำแหน่งครบวาระ 8 ปี ซึ่งศาลรธน.ก็มีมติ 5 ต่อ 4 ให้พลเอกประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่
หรือกรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรี ของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบกับมาตรา 187 หรือไม่ ศาลรธน.ก็มีคำสั่งเช่นเดียวกันให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
กระบวนการพิจารณาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่ได้แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างที่ “สมาชิกพรรคก้าวไกล และด้อมส้ม” สำรอกสำรากทั้งในการชุมนุมในสื่อโซเชียลต่างๆ แต่อย่างใด
เราอยากเตือนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แกนนำพรรคก้าวไกลและสส.ของพรรค รวมทั้งอุปกรณ์การเกษตรด้อมส้มหยุดหลอกตัวเองเพื่อฟอกขาวให้เกิดความขัดแย้งในสังคม
โดยเฉพาะ “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่ทราบดีว่าข้อเท็จจริงเรื่องการถือหุ้นสื่อไอทีวี 42,000 หุ้นนั้น เจตนาในเรื่องนี้เป็นอย่างไร ตั้งใจเผอเรอ หรือเชื่อนักกฎหมายส่วนตัวบางคน
บ่อยครั้งการหลอกตัวเองก็ทําให้เรามีความสุขมากกว่าได้รู้ความจริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี