ชาวอิสราเอลที่อพยพจากทางเหนืออิสราเอลใกล้ชายแดนเลบานอนไปพักอาศัยในเมืองจาฟฟา ทางใต้อิสราเอลเพื่อความปลอดภัย บอกแนวหน้าว่า อิหร่านขู่ทำสงครามใหญ่กับอิสราเอล สร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจอิสราเอล เลวร้ายกว่าถล่มอิสราเอลด้วยขีปนาวุธ เพราะการขู่ของอิหร่าน ทำให้อิสราเอลเหมือนเมืองร้าง ต่างชาติหลีกเลี่ยงเดินทางเข้าประเทศ ในเวลาเดียวกันคนทำงานกินเงินเดือนหลายแสนคน ต้องหยุดทำงานย้ายไปเป็นกำลังสำรองในกองทัพ
เมื่อถามว่าสถานการณ์สงครามรุนแรงไหม? ...เห็นรัฐบาลเตือนคนไทยให้หลีกเลี่ยงเดินทางไปอิสราเอลในระยะนี้ ได้รับคำตอบว่า..“ฉันคิดว่าหลายประเทศทำเหมือนไทยคือปกป้องคนของเขาไว้ก่อน..เหมือนกับสายการบินจำนวนมากยกเลิกเที่ยวบินเข้า-ออกอิสราเอล มีคนอิสราเอลจำนวนมากติดอยู่ต่างประเทศสายการบินอิสราเอล (EIAL) ไม่สามารถเพิ่มเที่ยวบินรองรับได้มากกว่านี้..”
คนอิสราเอลที่อพยพครอบครัวจากเมืองไฮฟาทางเหนืออิสราเอลใกล้ชายแดนเลบานอนไปอาศัยชั่วคราวในเมืองจาฟฟา ตอนใต้อิสราเอลกล่าวว่า..“สถานการณ์ตึงเครียดมาก แต่ก็ไม่น่ากลัวสำหรับฉันซึ่งผ่านการทำข่าวสงครามมา..ตอนนี้พูดได้ว่ายังไม่มีสงครามใหญ่จริง พวกเราได้แต่รอดูว่าอิหร่านจะทำอะไรมากกว่านี้ ส่วนฮามาสอ่อนแอเกินไปที่ทำร้ายเราได้ ถึงแม้ว่าฉันไม่ประหลาดใจหากพวกเขาฆ่าตัวประกันเพิ่มอีก..” ...เธออ้างญาติตัวประกันบอกว่า ตัวประกันถูกสังหารรายวันเพื่อกดดันให้เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีขวาสุดโต่ง ยอมรับข้อเสนอหยุดยิงของสหรัฐอเมริกา และสหประชาชาติ
ตัวประกันจากหลายชาติส่วนใหญ่เป็นอิสราเอลประมาณ 250 คน รวมทั้งคนไทย 32 คน ถูกฮามาสจับตัวไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีกลาย วันที่กองกำลังฮามาสกว่าสองพันนาย บุกถล่มตอนใต้ของอิสราเอลใกล้ฉนวนกาซา ที่อิสราเอลระบุว่า ฮามาสสังหารอิสราเอลและคนชาติอื่นๆกว่า 1,200 คน และเป็นการจุดชนวนสงครามอิสราเอล-ฮามาสที่ยืดเยื้อมาจนวันนี้ที่กองทัพอิสราเอลสังหารชาวปาเลสไตน์ซึ่งถูกปิดล้อมในฉนวนกาซาไปแล้วกว่า 40,000 คน
ตัวประกันกว่าร้อยคนรวมทั้งตัวประกันที่เป็นคนไทย 25 คนได้รับการปล่อยตัวปลายปี 2566 ตามข้อตกลงหยุดยิง 7 วัน เพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกันกับนักโทษปาเลสไตน์ที่ถูกคุมขังในคุกอิสราเอล...และเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กองทัพอิสราเอลแถลงว่าตัวประกัน 109 คน ยังอยู่กาซาในจำนวนนี้เชื่อว่า 34 คน เสียชีวิตแล้ว แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯประมาณการว่าตัวประกันที่ว่าครึ่งหนึ่งตายไปแล้ว หากเป็นไปตามสหรัฐฯประมาณการ หมายความว่า ตัวประกันยังมีชีวิต อยู่ในกาซาเพียง 55 คน จึงได้แต่ภาวนาให้ตัวประกันไทย รวมอยู่ใน 55 คนที่ยังอยู่รอดปลอดภัย
ชาวอิสราเอลที่อพยพหนีภัยสงครามจากเหนือลงใต้ กล่าวด้วยว่า..“อิหร่านทำร้ายเราโดยการให้เราเฝ้าคอยอย่างทุกข์ทรมาน #ทุกวันนี้เกือบไม่มีเที่ยวบินเข้า-ออกอิสราเอล นี้คือการทำลายเศรษฐกิจอิสราเอลย่อยยับ..ในขณะที่คนทำงานกินเงินเดือนส่วนใหญ่ก็ถูกเรียกไปเป็นกำลังสำรองในกองทัพ..”
กระทรวงการคลังอิสราเอลประเมินว่า อิสราเอลใช้เงินวันละ 246 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการทำสงครามกับฮามาส และใช้เงินเดือนละ 8 พันล้านNIS (ประมาณ 70,000 ล้านบาทไทย) ในการใช้จ่ายกับกองกำลังสำรองประมาณ 360,000 คน ค่าอาหารและน้ำแก่พวกเขารวมทั้งจัดซื้ออุปกรณ์และอาวุธ
นอกจากต้องใช้เงินมหาศาลในการอุดหนุนกำลังสำรองแล้ว อุตสาหกรรมต่างๆ ของอิสราเอลประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก เมื่อคนวัยทำงานหลายแสนคนต้องกลายเป็นกำลังสำรองให้กองทัพ ในขณะที่แรงงานต่างประเทศยังไม่กล้าเข้ามาในสถานการณ์สงคราม และแรงงานปาเลสไตน์ถูกสั่งห้ามเด็ดขาด
ผู้อพยพหนีภัยสงครามชาวอิสราเอล กล่าวด้วยว่า “ฮิซบอลเลาะห์ยิงขีปนาวุธและโดรนเข้ามาทุกวันแต่สร้างความเสียหายได้เพียงเล็กน้อย คิดว่าฮิซบอลเลาะห์เอง คงระวังตัวมาก พวกเขารู้ว่ากองทัพอิสราเอลมีศักยภาพมากกว่าหลายเท่า หากบ้าเลือดขึ้นมาอิสราเอลจะถล่มกรุงเบรุต ทำให้ชาวเลบานอนในเบรุตที่ไม่พอใจอยู่แล้วเพิ่มความรู้สึกชิงชังฮิซบอลเลาะห์มากขึ้น..
“ฉันคิดว่าสิ่งที่อิหร่าน หรือ ฮิซบอลเลาะห์ทำคือพยายามลอบสังหารคนสำคัญของอิสราเอลทั้งในและนอกประเทศ นั่นคือการล้างแค้นกันไปมา หรือไม่ก็พยายามก่อวินาศกรรมโรงงานไฟฟ้าหรือสถานีผลิตน้ำ ฉันยังสงสัยว่าพวกเขาจะถล่มเรา ด้วยขีปนาวุธอีกครั้งหรือไม่”
ทั้งหมดเป็นความเห็นชาวอิสราเอล ซึ่งอาจลำเอียงเข้าข้างตัวอยู่บ้าง แต่บางส่วนก็ตรงกับความจริงที่ว่า อิหร่านกับฮิซบอลเลาะห์ ประกาศล้างแค้นอิสราเอลที่สังหารผู้นำฮามาสและผู้บัญชาการทหารฮิซบอลเลาะห์อย่างขึงขัง จนสร้างความกังวลว่าจะเกิดสงครามใหญ่บานปลายในตะวันออกกลาง
ฟูอัด ชูกร์ ผู้บัญชาการทหารระดับสูงของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ถูกสังหารในการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา และไม่กี่ชั่วโมงต่อมา “อิสมาอิลฮานิเยห์” ผู้นำฝ่ายการเมืองของกลุ่มฮามาสเสียชีวิตจากการโจมตีในที่พักในกรุงเตหะราน เมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ฮานิเยห์ถูกสังหารในกรุงเตหะรานขณะที่ไปแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีคนใหม่ที่ได้รับเลือกตั้งทำให้อิหร่านโกรธเหมือนถูกตบหน้า
1 สิงหาคม 2567 สถานีโทรทัศน์ของอิหร่านเผยแพร่แถลงการณ์ของ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอีผู้นำสูงสุดประกาศให้รัฐบาลอิสราเอล เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการถูกลงโทษ ซึ่งอิหร่านถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องล้างแค้นให้กับผู้ที่สละชีวิตในดินแดนของอิหร่าน ขณะที่ชาวอิหร่านออกมารวมตัวประท้วงใกล้กับมหาวิทยาลัยในกรุงเตหะราน เพื่อประณามการสังหาร “อิสมาอิล ฮานิเยห์” ผู้นำฝ่ายการเมืองของกลุ่มฮามาส ที่เสียชีวิตจากการโจมตีในที่พักที่กรุงเตหะราน
และหนึ่งอาทิตย์ต่อมา ฮิซบอลเลาะห์ ระบุว่า พวกเขาได้ยิงขีปนาวุธคาติยูชาไปแล้วกว่า 320 ลูกโดยอ้างว่ากำลังโจมตีฐานทัพและค่ายทหารอิสราเอล11 แห่ง ฮิซบอลเลาะห์ ระบุในแถลงการณ์ด้วยว่าการโจมตีอิสราเอลเป็นการตอบโต้ “การโจมตีของกลุ่มไซออนิสต์ที่โหดร้าย ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของนายฟูอัด ชูกร์” คำประกาศของผู้นำสูงสุดของอิหร่านและแถลงการณ์ฮิซบอลเลาะห์ที่ระบุว่าได้ยิงขีปนาวุธคาติยูชาถล่มฐานทัพทหารอิสราเอลกว่า 320 ลูกได้สร้างความวิตกแก่ชาวโลกว่าต้องเกิดสงครามบานปลายในตะวันออกกลาง
แต่เมื่อฟังความเห็นจากอดีตนักข่าวสงครามชาวอิสราเอลที่กล่าวว่า สถานการณ์ตึงเครียดมากแต่ไม่ถือว่าเป็นสงครามใหญ่ เพราะการยิงถล่มรายวันไม่ได้สร้างความเสียหายทางกายภาพ แต่มันสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง และ อุตสาหกรรมการผลิตของอิสราเอล
ฤาอิหร่านใช้วิธีแก้แค้น ดังที่อดีตนักข่าวสงครามกล่าวว่า “อิหร่านทำร้ายให้เศรษฐกิจเราเสียหาย” อิหร่านคงตั้งใจให้อิสราเอลพ่ายแพ้เพราะเศรษฐกิจเสียหายยับเยินมากกว่าทำลายทางกายภาพ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี