วันอาทิตย์ ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ในช่วง 50-60 ปีที่ผ่านมาทุกคณะรัฐบาลไทยต่างมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางระหว่างประเทศ(International Hub) ทั้งในเรื่องธุรกิจ การศึกษา การรักษาพยาบาล การร่วมมือพัฒนากล่าวคือ ประเทศไทยต้องการให้วงการธุรกิจต่างชาติ โดยมิใช่แค่เข้ามาลงทุนหรือตั้งโรงงาน แต่หวังให้มาเปิดสำนักงานใหญ่ หรือสำนักงานประจำภูมิภาคขึ้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งการส่งเสริมให้วงการธุรกิจและสมาคมวิชาชีพต่างๆ มาจัดการประชุม สัมมนา ที่ประเทศไทย การมาเปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยนานาชาติ การมาตั้งศูนย์ค้นคว้าและวิจัย และศูนย์ข้อมูล การมาเปิดสำนักงานภูมิภาคของบรรดาองค์กรที่มิใช่รัฐ หรือองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรที่ประเทศไทย เป็นต้น
จุดเด่นของประเทศไทยที่สามารถดึงดูดความสนใจของต่างชาติให้มาที่ประเทศไทยได้ก็มีอาทิ
- ที่ตั้งที่เหมาะสมทางด้านภูมิศาสตร์ ส่งผลให้การคมนาคมทางอากาศ มีความสะดวกอย่างมาก
- ประเทศไทยปราศจากความรุนแรงจากเหตุการณ์ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแผ่นดินไหว ภูเขาไฟ ลมมรสุม และคลื่นยักษ์ อีกทั้งประเทศไทยมีความสวยงามทางธรรมชาติอีกมากมาย
- คนไทยโดยพื้นฐานมีใจเปิดกว้าง ต้อนรับขับสู้ และโอบอ้อมอารีต่อชาวต่างประเทศ
- การเดินทางสัญจรไป-มามีความสะดวกและปลอดภัย
- การบริการของภาครัฐโดยทั่วไป ก็ไม่เป็นรองประเทศกำลังพัฒนาใดๆ ทั่วโลก อีกทั้งระบบการรักษาพยาบาลก็ทั่วถึง และได้มาตรฐาน
แต่ประเทศไทยก็ยังมีจุดอ่อนที่อยู่ในวิสัยที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นเป็นมาตรฐานสากลได้ แต่กลับปล่อยปละละเลย และไม่เอาจริงเอาจังอย่างที่ควร ซึ่งในขณะเดียวกันก็มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอีกมากมายต่างตีตื้นขึ้นมาทัดเทียม และบางประเทศยังดูมีทีท่าที่จะแซงขึ้นหน้าไทยไปเสียอีก เช่น เวียดนาม และอินเดีย เพราะฉะนั้นไทยจะอยู่นิ่งเฉยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว และจะมัวอ้างว่ายังทำการแก้ไขปรับปรุงไม่ได้ เพราะการบ้านการเมืองไม่มีความแน่นอน และไร้เสถียรภาพ
แต่หลายๆ อุปสรรคที่สำคัญ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับนักการเมือง และสถานการณ์ทางการเมืองก็ยังมีปัญหาจากระบบระบอบข้าราชการประจำโดยตรง ทั้งในเรื่องความประพฤติให้มีธรรมาภิบาลมีความซื่อตรง ซื่อสัตย์สุจริต และการแก้ไขปรับปรุงกฎเกณฑ์ ระเบียบ ทั้งในระดับกรม กองและกระทรวง ให้มีขั้นตอนที่กระชับ สะดวกและง่ายต่อการปฏิบัติ และมีความชัดเจน เพื่อให้ผู้มาติดต่อขอรับบริการและขอรับอนุญาตสามารถเข้าถึงและได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ก็ต้องมีการตระหนักว่า ประเทศไทยเรามักจะมีตัวเปรียบเทียบ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซีย และบัดนี้ก็คือเวียดนาม และอินเดีย ว่าในประเทศไทยนั้น ชาวต่างชาติต่างๆ ที่มาติดต่อนั้น ต้องเข้าคิวรอยาวนาน การพิจารณาใช้เวลากี่ชั่วโมง กี่วัน หรือกี่เดือน และทั้งระบบจะต้องมีการวิ่งเต้นและลัดคิวได้หรือไม่อย่างไร
ทั้งนี้ฝ่ายข้าราชการประจำที่มีภาระหน้าที่ในการบริการชาวต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง ฝ่ายตำรวจ ฝ่ายแรงงาน ฝ่ายทะเบียน ฝ่ายรักษาความปลอดภัยประจำวันต่างก็ต้องตระหนักและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อประเทศไทยต้องการเป็นศูนย์กลางระหว่างประเทศ ทุกฝ่าย ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ต้องร่วมกันทำงานทำการให้ความเป็นศูนย์กลางระหว่างประเทศของไทยนั้น เป็นจริงเป็นจังไม่ติดขัด ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือการใฝ่หาประโยชน์เข้าตัว
ทั้งหมดนี้ก็หมายความว่า ปลัดกระทรวงทั้งหลาย รวมทั้งผู้บริหารในระดับซี 11 นายตำรวจใหญ่ที่ฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือนประจำกระทรวงต่างๆ ก็ต้องกลับมาทบทวนตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ในการบริหารราชการเพื่อให้องคาพยพในสังกัดของตนเองนั้น รับใช้และบริการประชาชน โดยเฉพาะคนต่างชาติที่เข้ามาพำนักและทำงานทำการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพที่ไม่เป็นรองสิงคโปร์ ฮ่องกง และเวียดนาม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

รัฐบาลโอนเงินให้ผู้ประสบภัยชายแดนไทย-กัมพูชาแล้ว 10 ครั้ง เกือบ 300,000 แสนครัวเรือน
แฉแผนชั่ว BRN จ้องเอาชีวิตจนท.-สั่งเยาวชนทำลาย CCTV-หาข่าว จี้‘มทภ.4’ปรับแผนรับมือ
‘ยิปซีพยากรณ์’ดวงรายวัน วันอาทิตย์ 2 พฤศจิกายน 2568
‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’เสด็จฯทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ‘สมเด็จพระพันปีหลวง’
เปิด 7 ประเด็นวงถก‘กมธ.แก้รธน.’ มอบอำนาจ‘รัฐสภา’เลือกองค์กรทำรธน.ใหม่ เสียงแตกปม‘สสร.’

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี