วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568
หลังจากที่ศาลปกครองมีคำตัดสินให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) และบจ.กรุงเทพธนาคม (เคที) ชำระเงินค่าจ้างให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงอ่อนนุช-แบริ่งและช่วงตากสิน-บางหว้า และส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง-เคหะสมุทรปราการและช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต ตั้งแต่งวดเดือนมิ.ย.٢٥64 ถึงงวดเดือน ต.ค. ٢٥65 เป็นเงินต้นทั้งสิ้น 11,068,469,939.83 บาท
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร (สภากทม.) มีมติเห็นชอบร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
สาระสำคัญ คือ ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2569 จำนวนเงินทั้งสิ้น 32,625,106,200 บาทถ้วน
เป็นรายจ่ายพิเศษ โดยจ่ายจากเงินสะสมจ่ายขาดของกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อชำระหนี้ค่าเดินรถฯ สายสีเขียว
1. แหล่งข่าวจากกทม. เปิดเผยว่า กรอบวงเงิน 32,000 ล้านบาทนั้นจะครอบคลุมหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งหมด 3 ก้อน ได้แก่
หนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M)รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ช่วงวันที่ 1 มิ.ย.2564 ถึงวันที่ 20 พ.ย.2565 รวม 11,811 ล้านบาท ซึ่งศาลปกครองกลางตัดสินแล้วเมื่อวันที่ 29 ก.ย.2568
หนี้ค่าจ้าง O&M รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ตั้งแต่ พ.ย.2565 - ธ.ค.2567 รวม 17,596 ล้านบาท คิดเป็นเงินต้น 15,762 ล้านบาท และดอกเบี้ย 1,833 ล้านบาท ยังไม่มีการฟ้องคดี
และหนี้ก้อนที่ค่าจ้าง O&M รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ตั้งแต่ 1 ม.ค.2568 - พ.ค.2568 รวม 3,697 ล้านบาท คิดเป็นเงินต้น 3,650 และดอกเบี้ย 46.78 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีค่าจ้างเดินรถ ปีละประมาณ 5,000 ล้านบาท จนกว่าจะหมดสัมปทานในปี 2572
.png)
2. จะเห็นได้ว่า เงินที่ต้องจ่ายจริง พอกพูนด้วยดอกเบี้ยมหาศาล
นั่นคือ ราคาของความล่าช้า
ราคาของการเมืองที่หาเสียงขายฝัน อ้างว่าไม่ต้องขยายสัมปทานแลกหนี้ทั้งหมด มีแนวทางไม่ต้องจ่ายหนี้ จะทำค่าโดยสารถูกลง ฯลฯ
ราคาของการดึงเวลาจนดอกเบี้ยพอกพูนมหาศาล เพราะเอกชนที่เดินรถก็ต้องไปกู้เงินมาดำเนินการ
สุดท้าย ที่เสียหาย คือ เงินของกรุงเทพมหานครนั่นเอง
3. นับเป็นเรื่องที่ดี ในที่ประชุมสภา กทม. ยังตั้งข้อสังเกตกันว่า ต่อไปนี้
“กรุงเทพมหานครควรกำหนดแนวทางในการชำระค่าจ้างเดินรถและค่าซ่อมบำรุง (O&M) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 นับตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2568 จนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ให้ชัดเจน เพื่อให้กรุงเทพมหานครสามารถชำระค่าจ้างเดินรถ และค่าซ่อมบำรุง (O&M) ได้ หากผิดนัดชำระหนี้อีกอาจก่อให้เกิดความเสียหายในส่วนของการต้องชำระค่าดอกเบี้ยในอัตราที่สูง
และ 2. หน่วยรับงบประมาณควรเร่งดำเนินการเบิกจ่าย เพื่อประโยชน์ในการลดภาระดอกเบี้ยของกรุงเทพมหานคร”
.png)
4. การเมืองบางกลุ่ม มั่วไปโจมตีรัฐบาลลุงตู่ ผู้ว่าฯ อัศวิน หาว่าไม่ยอมจ่ายค่าเดินรถฯ จนทำให้ดอกเบี้ยพอกพูน
นั่นคือความพยายามมั่วอย่างน่าเวทนา
ความจริง เหตุที่ยุครัฐบาลลุงตู่และผู้ว่าฯ อัศวิน ไม่มีการจ่ายค่าเดินรถ ก็เพราะมีแนวทางจะดำเนินการตามมาตรา 44 ที่จะไม่ต้องจ่ายเลยสักบาทเดียว แลกกับการขยายสัมปทานให้เอกชน และค่าโดยสารตลอดสายไม่เกิน 65 บาท
แต่ปรากฏว่า แนวทางมาตรา 44 ขยายสัมปทานสายสีเขียวถูกต่อต้าน โดยเฉพาะจากกระทรวงคมนาคมยุคนั้น (แต่สายสีน้ำเงินเคยทำแบบเดียวกัน ไม่มีปัญหา)
ซึ่งหากไม่เจรจาตามแนวทางมาตรา 44 ก็จะต้องจ่ายค่างานระบบไฟฟ้าฯ และจะต้องจ่ายเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมๆ กว่า 7 หมื่นล้านบาท (ตัวเลขทั้งหมดที่ประเมินตอนนั้น)
สุดท้าย พอมาถึงยุคชัชชาติ หาเสียงว่าจะไม่ทำตามมาตรา 44 สุดท้าย ก็ต้องจ่ายตามสัญญา
ถึงขณะนี้ ก็ยังจ่ายไม่ครบถ้วนทั้งหมด
แถม ผู้ว่าฯชัชชาติ เตรียมจะกำหนดเพดานราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวสูงสุดไม่เกิน 65 บาท !!!
เรตเดียวกับแนวทางที่สมัยรัฐบาลลุงตู่เจรจาแบบไม่ต้องจ่ายหนี้นั่นเอง !!!
คาดว่าจะเริ่มต้นในเดือนพ.ย.นี้
โดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวชี้แจงว่า ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครต้องจ่ายค่าจ้างเดินรถประมาณปีละ 8,000 ล้านบาท ขณะที่การเก็บค่าโดยสาร สามารถเก็บได้เพียงประมาณ 2,000 ล้านบาท แม้อัตราค่าโดยสารไม่เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้โดยตรง แต่ต้องนำงบประมาณส่วนอื่นมาชดเชย ซึ่งอาจไม่เป็นธรรมกับประชาชนที่ไม่ได้ใช้บริการ เนื่องจากเงินที่นำมาใช้ล้วนเป็นเงินภาษี
ดังนั้น กรุงเทพมหานคร จึงอยู่ระหว่างพิจารณาปรับโครงสร้างค่าโดยสารใหม่ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
โดยคาดว่าราคาจะไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย
ทั้งนี้ อัตราค่าโดยสารบางช่วงอาจถูกลง เช่น เส้นทางสั้นๆ ภายในเมือง ส่วนผู้โดยสารที่เดินทางระยะไกลอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามระยะทาง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องดังกล่าวอยู่
ยืนยันว่า กรุงเทพมหานคร จะบริหารจัดการเรื่องดังกล่าวอย่างโปร่งใสบนพื้นฐานของความเป็นจริง และยึดประโยชน์ของประชาชนอย่างสูงสุด
.png)
5. ก่อนหน้านี้ ผู้ว่าฯกทม.บอกไม่เอาแนวทางตามมาตรา 44
พอจะต้องจ่ายหนี้จริงๆ หลายฝ่ายได้เตือนผู้เกี่ยวข้องที่มีภาระต้องจ่าย จะต้องรีบจ่าย
เพราะภาระดอกเบี้ยพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
ควรจะเร่งจ่ายเงินตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเสีย (ก้อนแรก)
แต่ก็มีความพยายามจะยื้อ เตะถ่วง
ความจริง เมื่อศาลตัดสินไปแล้ว หนี้ค่าเดินรถก้อนต่อๆ ไป ก็อยู่บนพื้นฐานสัญญาเดียวกัน จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะไม่จ่าย
เพื่อมิให้ กทม.ต้องรับภาระค่าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในแต่ละวันกว่า 5 ล้านบาท
แต่ก็ยื้อ ดื้อ ดึง ทอดเวลามาเรื่อยๆ
สุดท้าย ก็ต้องจ่าย แต่บวกเพิ่มดอกเบี้ยไปอีก
นับเป็นราคาของการยื้อ ดื้อ ดึง คุยโวทางการเมือง
สารส้ม

'นเรศ'เปิดประชุมสหกรณ์ออมทรัพย์ อปท. ย้ำ 4 แนวทางบริหารสู่ความยั่งยืน
กลาโหมประณามกัมพูชา เปิดฉากยิงพื้นที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน
‘ปธ.รัฐสภา’ลงพื้นที่หาดใหญ่ มอบเงิน 1.1 แสนบาทช่วยน้ำท่วม
บุรีรัมย์เคลื่อนทัพ ระดมกำลังเปิดศูนย์พักพิง รับผู้อพยพ3.5หมื่นคน รับมือสถานการณ์ปะทะ
ต๊ะ นารากร ติงสื่อ! เปิดเผยชีวิตส่วนตัว นัทปง ไม่เกรงใจญาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี