องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJA) จัดงานฉลอง 40 ปี การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียม โดยพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ถือเป็นผลงานความร่วมมือระหว่างประเทศที่ได้รับการชื่นชมจากนานาชาติในเวทีระหว่างประเทศที่สามารถแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนอย่างสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์ พร้อมเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นต่อไป ผ่านความร่วมมือด้านต่างๆ โดยผู้แทนจากทั้งสองประเทศได้ย้ำถึงความร่วมมือต่อไปในอนาคต
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ประเทศไทยและมาเลเชียเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนาน มีการแบ่งปันความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมสังคมและประวัติศาสตร์มานานหลายศตวรษ ด้วยจิตวิญญาณของมิตรภาพมิตรภาพและความร่วมมือซึ่งกันและกัน "องค์กรร่วมมาเลเซีย-ไทย ถือเป็นการเริ่มต้นภารกิจอันยิ่งใหญ่ระหว่างสองประเทศ เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐบาลในการดูแลสำรวจและแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมบนพื้นฐานของการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมบนพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (Malsysia Thailand Joint Development Area : MTUDA) บนพื้นที่ประมาณ 7,250 ตารางกิโลเมตร รวมถึงการจัดการค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์จากกิจกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมฯ ภายใต้เงื่อนไงของระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract ) เป็นระยะเวลา50 ปี
นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลทั้งสองประเทศรับภาระและแบ่งปันโดยเท่าเทียมกันในสัดสวน 50:50 นับได้ว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ด้านปิโตรเลียมร่วมกันและแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติจนเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติบนเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งการจัดงานในวันนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายดาโต๊ะ สรี โมฮัมเหม็ด อัซมิน อาลี รมว.เศรษฐกิจของมาเลเซีย เป็นประธานร่วมในการจัดงานดังกล่าวอีกด้วย
ขณะที่ ดร.คุรุจิต นาครทรรพ ประธานกรรมการร่วมฝ่ายไทย ในองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย กล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยเป็นอย่างมหาศาล เพราะเป็นแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติชนาดใหญ่ส่งเข้าประเทศไทยเฉลี่ย 509 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันคิดเป็นร้อยละ 16 ของการจัดหาก๊าซของประเทศ (3,252 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน) โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนแรกถูกส่งไปยังจังหวัดสงขลาและโรงไฟฟ้าจะนะจำนวน 163 ล้านลูกบาศก์ฟุต เพื่อเป็นเชื้อเพลิงหลักในการขนส่งของภาคใต้ตอนล่างและส่งก๊าซให้กับสถานีบริหาร NGV 12 แห่งในจังหวัดสุราษฏร์ธนี นครศรีธรรมราช สงขลาและปัตตานี ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจะนะ ถือเป็นแหล่งความมั่นคงให้กับธุรกิจและครัวเรือนของภาคใต้ ส่วนที่สองถูกส่งไปยังจังหวัดระยอง จำนวน 346 ล้านลูกบาศก์ฟุต เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าของภาคกลางและภาคตะวันออก
ดร.คุรุจิต กล่าวว่า ปัจจุบัน ระยะเวลาความร่วมมือนั้นผ่านไปแล้ว 40 ปี และกำลังจะก้าวเข้าสู่ทศวรรษสุดท้ายภายใต้ข้อตกลงในปี 2572 จากการประเมินศักยภาพปิโตรเลียม พบว่าในพื้นที่ของ MTJA จะยังคงมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่สามารถสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ไทยและมาเลเซียได้อีกต่อไปไม่น้อยกว่า 20 ปีและยังก่อให้เกิดประโยชน์ทางอ้อมสู่ประชาชน ชุมชน ในพื้นที่ใกล้เคียงของทั้งสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้วัตถุดิบและการจ้างแรงงานกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม การพัฒนา โครสร้างพื้นฐานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่นานาประเทศในการแก้ไขปัญหาเรื่องเขตพื้นที่ทับซ้อนในทะเลอย่างเป็นรูปธรรม
ทางด้าน ตันศรี ดร.ราฮาหมัด บีวี ยู-ซอฟ ประธานกรรมการร่วมฝ่ายมาเลเชีย กล่าวว่า องค์การร่วมไทย-มาเลเซีย ได้ดำเนินงานมาถึง 40 ปี ผ่านความร่วมมือที่ดีจากประเทศไทยโดยพื้นที่พัฒนาร่วมไทย มาเลเซียเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจกันการในแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ตั้งอยู่บนไหล่ทวีปของทั้งสองประเทศปัจจุบันบนพื้นที่พัฒนร่วมนี้มีแหล่งผลิตปีโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ จำนวน 3 แปลง ได้แก่ แปลง A18, แปลง B-17& C-19 และ B-17-01 ซึ่งมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจหลายด้านทั้งการสร้างงานให้กับผู้คนได้มากกว่า 50,000 ตำแหน่ง สนับสนุนทุนวิจัยให้กับมหาวิทยาลัยทั้งในมาเลเชียและไทยจำนวน 16 โครงการมากกว่า 25 ล้านหรียญสรัฐ และข้อมูลในปี 2562 พบว่าพื้นที่ดังกล่าวสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติตามสัญญาได้เฉลี่ยประมาณ 1,200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ผลิตคอนเดนเสทเฉลี่ยประมาณ 16,700 บาร์เรลต่อวัน รวมรายได้ที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศประมาณ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่นอกจากรายได้ที่เกิดขึ้นนี้ยังมีผลกำไรที่จับต้องไม่ได้ ที่เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย คือการแลกเปลี่ยนความรู้การสร้างทักษะ กำลังการผลิตและการเติบโตของฐานการวิจัยที่แข็งแกร่งในแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติ หลังจากครบ 50 ปี ของการลงนามบันทึกความเข้าใจในปี พ.ศ. 2572 ทั้งสองประเทศเชื่อมั่นว่าจะยังดำเนินการความร่วมมือต่อไปได้ด้วยการขยายขอบขตการทำงานที่มากขึ้นเพื่อยกระดับและสภาพความเป็นอยู่ วิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ สร้างการพัฒนาศรษฐกิจในพื้นที่เหล่านี้ได้โดยตรง และยังมีแนวโน้มที่จะขยายความร่วมมือเช่นดียวกันนี้ไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนด้วยเช่นกัน
นอกจากการพัฒนาด้านพลังงานแล้ว ระหว่างสองประเทศยังมีกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนทั้งระยะสั้นและระยะยาวสำหรับสังคมและชุมชนในรูปแบบกองทุนที่จัดตั้งโดย MTJA ที่ทำการวิจัยเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด สร้างการมีส่วนร่วมในการปลี่ยนแปลงภาพภูมิอากาศ โดยหลังจากนี้จะเป็นการดำเนินงานในเชิงลึกมากขึ้น สร้างการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการรียนรู้และแบ่งปันความรู้ เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปในอนาคตที่จะยึดมั่นในวิถีและแนวคิดเพื่อให้เติบโตต่อไปอย่างยั่งยืนเช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี