ประเทศไทยได้เลื่อนระดับตัวเองจากกลุ่มรายได้ต่ำไปสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงในระยะเวลาไม่ถึงชั่วอายุคน ซึ่งถือเป็นเรื่องราวการเติบโตที่ใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของภูมิภาคเอเชีย โดยในกระบวนการนี้ประเทศไทยได้ลงทุนในระบบนิเวศด้านการดูแลสุขภาพและนำเสนอโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UHC) ที่ทำให้ประชากรส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานได้โดยเสียค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีค่าใช้จ่ายเลย ซึ่งส่งผลให้ประชากรไทยมีอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้นและอัตราการเกิดลดลง อย่างไรก็ตามสังคมของประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้เกิดความเครียดทางการเงินสำหรับภาคการดูแลสุขภาพเช่นเดียวกับประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงหลายๆประเทศ ความเครียดทางการเงินนี้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากอัตราการเพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อ (NCDs) คิดเป็นร้อยละ 74 ของการเสียชีวิตทั้งหมดในประเทศไทย หรือประมาณ 400,000 คนต่อปี
โจเซฟ ซาบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Axios International (ปารีส ฝรั่งเศส) เผยว่า แม้ว่าหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ปรับให้เข้ากับกลุ่มโรคเรื้อรังหรือโรคไม่ติดต่อ เช่น โรคมะเร็งหรือโรคทางเดินหายใจ ที่ต้องได้รับการรักษาเฉพาะทางซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงตลอดชีวิต โดยทั่วไปแล้วหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะครอบคลุมการเข้าถึงการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานรวมถึงยาสำหรับการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิ เช่น ยาลดความดันโลหิตซึ่งเป็นที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยหลายล้านคนในราคาที่ลดลงอย่างมาก ไม่เกินสองสามร้อยบาท ในทางตรงกันข้าม หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ายังครอบคลุมไม่ถึงการรักษาเฉพาะทางสำหรับโรคที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายหลายหมื่นบาท ซึ่งก็มีความจำเป็นสำหรับผู้ป่วยกลุ่มเล็กๆ
แล้วทำไมไม่ลดราคายาเฉพาะทางเหล่านี้ล่ะ? พูดง่ายๆคือมันไม่ยั่งยืน เมื่อราคายาในระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิลดลง จะมีผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นที่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ในราคาที่ถูกลง จำนวนผู้ป่วยที่มากขึ้นทำให้การให้บริการยังคุ้มค่าสำหรับรัฐบาลและผู้ผลิตแม้จะมีการลดราคา อย่างไรก็ตามสำหรับยาเฉพาะทางที่มีราคาสูงกว่า จะต้องถูกลดราคาลงอย่างมากเพื่อให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถซื้อได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการเงินของรัฐบาลหรือผู้ผลิต จึงทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงการรักษาในระยะยาวได้
ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงสร้างความก้าวหน้าในด้านการรักษาเฉพาะบุคคลซึ่งมียาเฉพาะทางมากขึ้นสำหรับการรักษาโรคไม่ติดต่อ ค่าใช้จ่ายของการรักษาเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคสำหรับอนาคตอันใกล้ ดังนั้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านการดูแลสุขภาพของประเทศไทยจึงต้องร่วมมือกันเพื่อค้นหาวิธีพัฒนาทางเลือกสำหรับการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพที่นอกเหนือไปจากตรรกะราคาต่อปริมาณแบบเดิม และปรับให้เข้ากับจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อนที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่สามารถให้การเข้าถึงบริการการดูแลรักษาสุขภาพอย่างเท่าเทียมกันในสังคมที่กำลังพัฒนาของประเทศ
อุปสรรคทางการเงินปิดกั้นการเข้าถึงการรักษาพยาบาล
ในประเทศไทยผู้ป่วยจำนวนมากต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการรักษาเฉพาะทางด้วยตัวเองทำให้พวกเขาตัดสินใจเรื่องอนาคตได้ยาก
คุณเทค เจ้าของธุรกิจชาวไทยวัย 49 ปีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักในระยะแพร่กระจายในปี 2559 ซึ่งในฐานะคนหาเลี้ยงครอบครัว เขาจึงตัดสินใจว่าจำนวนเงินที่เขาจะต้องจ่ายเพื่อรักษาต่อไปนั้นไม่คุ้มค่ากับโอกาสต่างๆที่ครอบครัวจะต้องเสียไป ซึ่งรวมไปถึงการใช้กองทุนการศึกษาของบุตรของเขา “ผมตัดสินใจที่จะเอาความจำเป็นของครอบครัวมาก่อนความจำเป็นของของตัวเอง” เขาบอกกับเรา “ผมไม่สามารถเห็นแก่ตัวและให้ความสำคัญกับตัวเองได้”
สถานการณ์แบบเดียวกับคุณเทคมีอยู่ทั่วประเทศไทย กลุ่มคนอย่างเขากำลังเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการสูญเสียสุขภาพของพวกเขา เนื่องจากราคาสูงเนื่องจากตัวเลือกการรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ไม่มากนัก เราจะทำให้พวกเขาสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างไรบ้าง? นี่เป็นงานที่เราไม่สามารถดำเนินการได้โดยลำพัง
ความร่วมมือของทุกภาคส่วนจำเป็นต่อการเข้าถึงการรักษา
พวกเราหลายคนคุ้นเคยกับรูปแบบโบนัสแบบเดิมๆ (เช่น "ซื้อ X และรับ X ฟรี") ที่ตั้งใจจะทำให้ผู้ป่วยสามารถซื้อยาเฉพาะทางที่มีราคาแพงกว่าได้ แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นแทนคือผู้ป่วยเงินหมดหลังจากจ่ายยาไปสองสามรอบจึงไม่สามารถรักษาให้เสร็จสิ้นได้ ส่งผลให้ไม่ได้รับผลประโยชน์ทางการแพทย์ตามที่คาดหวังไว้ ทำให้พวกเขาต้องเสียเงินและแพทย์ก็เสียเวลา
ความจริงก็คือการขยายการเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างยั่งยืนนั้นไม่สามารถยึดการใช้แนวทางเดียวกันสำหรับทุกคนได้และการมุ่งเน้นไปที่การลดราคาเท่านั้นเป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น การรักษาเฉพาะทางและการรักษาของแต่ละรายบุคคลจำเป็นต้องใช้วิธีแก้ปัญหาเฉพาะบุคคลที่เหมาะกับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละรายในแต่ละประเทศ ในสภาพแวดล้อมที่กลายเป็นตลาดที่ต้องจ่ายเงินด้วยตนเองมากขึ้นเรื่อยๆสำหรับการรักษาเฉพาะทาง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแวดวงธุรกิจการดูแลสุขภาพจำเป็นต้องหาทางเลือกเพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ของผู้ป่วยในการจัดการโรคเรื้อรังโดยการขยายโอกาสในการเข้าถึงการรักษาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่นแบบจำลองการแบ่งปันค่าใช้จ่ายสามารถช่วยขยายการเข้าถึงยาเฉพาะทางสำหรับผู้ป่วยในประเทศไทยได้ในวงกว้างขึ้น อย่างไรก็ตาม หลักการเหล่านี้ต้องการการมีส่วนร่วมของพันธมิตรระบบนิเวศที่หลากหลาย
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา Axios ได้ใช้เครื่องมือประเมินความลับเฉพาะในประเทศไทยที่เรียกว่า Patient Financial Eligibility Tool (PFET) เพื่อประเมินว่าผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือมากเพียงใดในการจ่ายค่ารักษาอย่างครบถ้วน ภายใต้แผนการดำเนินงานแบบแบ่งปันค่าใช้จ่าย
เมื่อพิจารณาถึงความต้องการเฉพาะของประเทศที่มีเศรษฐกิจนอกระบบที่โดดเด่นเช่นประเทศไทย PFET จะรวมรายได้ ทรัพย์สิน และมาตรฐานการครองชีพเข้าด้วยกัน เพื่อพัฒนาแผนที่ให้รายละเอียดว่าผู้ป่วยจะต้องได้รับความช่วยเหลือมากเพียงใดในการเข้ารับการรักษาตามสภาพเศรษฐกิจของตน และฝ่ายอื่นๆ เช่น บริษัท ยา บริษัท ประกันและรัฐบาลจะต้องช่วยเหลือมากน้อยเพียงใด
การแบ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาให้กับหลายฝ่าย ทำให้ผู้ป่วยสามารถจ่ายค่ารักษาได้เต็มโปรแกรมผู้ป่วยจึงได้รับประโยชน์ทางการแพทย์สูงสุดจากการรักษา และเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กลุ่มแพทย์ พยาบาล และเภสัชกรสามารถเสนอวิธีรักษาที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยที่ประสบปัญหาด้านความสามารถทางการเงิน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดความต้องการงบประมาณด้านการรักษาพยาบาลของรัฐบาลอีกด้วย
บทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในประเทศไทยและในหลายๆประเทศคือความสำคัญของการมุ่งเน้นไปที่โซลูชันการเข้าถึงการรักษาที่นำไปสู่ความสมบูรณ์ของการรักษา มากกว่าที่จะให้เงินสนับสนุนและปรับเปลี่ยนราคา สถานการณ์ win-win ที่แท้จริงเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องและแพทย์เห็นผลลัพธ์ในเชิงบวก คุณเทคเป็นหนึ่งในผู้ป่วยที่เรากำลังช่วยเหลือ หลังจากแพทย์แนะนำให้เขามาลงทะเบียนในโปรแกรมการเข้าถึงการรักษาของเรา เขาก็สามารถรับยาได้ในราคาที่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของเขา ทำให้เขาสามารถสร้างสมดุลระหว่างภาระผูกพันทางการเงิน สุขภาพ และครอบครัวได้
สร้างความยั่งยืนเพื่ออนาคตประเทศไทย
การแบ่งปันค่าใช้จ่ายเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้ประโยชน์จากความร่วมมือในระบบนิเวศที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพื่อมอบการเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นในวงกว้าง หากรัฐบาลจัดความสำคัญกับการพัฒนาระบบนิเวศด้านการดูแลสุขภาพให้เป็นพื้นที่สำคัญสำหรับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) จะมีพื้นที่เพิ่มเติมที่สามารถเปิดให้เกิดความร่วมมือเพื่อช่วยสนับสนุนภาคการดูแลสุขภาพของประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน
โมเดลไทยแลนด์ 4.0 จะนำไปสู่ขั้นตอนต่อไปของการพัฒนาประเทศ ซึ่งส่วนสำคัญคือการสร้างชุมชนที่มีสุขภาพดีขึ้น เนื่องจากการมีสุขภาพที่ดีส่งผลกระทบโดยตรงกับความสามารถของประเทศในการเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนั้นในปัจจุบันผู้มีบทบาทด้านการดูแลสุขภาพของไทยจึงต้องร่วมมือกันคิดนอกกรอบ และใช้ประโยชน์จากโซลูชันทางเลือกอื่นๆ เพื่อขยายการเข้าถึงการรักษาพยาบาลทั่วประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี