"ปี 2566" นับว่าเป็นปีกระต่ายทองสำหรับ "สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ" (วช.) ซึ่งเข้าสู่ไตรมาส 2 ของปีทาง วช.ได้จัดเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเชิงรุก โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการชูงานวิจัยที่จับต้องได้ และมีความโดดเด่นเข้าตากรรมการทั้งภายใน วช. และเข้าตาประชาชน โดยล่าสุดมีการนำสื่อมวลชนลงพื้นที่ "ตลาด 100 ปี คลอง 12 หกวา" จังหวัดปทุมธานี ซึ่งนำทัพโดย ดร.ดนุช ตันเทิดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิ วช.และสื่อมวลชนลงพื้นที่ตลาดร้อยปีฯเพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการวิจัยภายใต้แผนงานการวิจัยเพื่อท้องถิ่น (Community-Based Research : CBR) ประจำปี 2565 (ภาคกลาง)
งานวิจัยดังกล่าว ผศ.ดร.ดรุณศักดิ์ ตติยะลาภะ อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นเจ้าของงานวิจัยในการดำเนินโครงการการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานราก และลดความเหลื่อมล้ำของชุมชน ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ด้วยการพลิกฟื้นตลาดเก่าและย่านเมืองเก่า 100 ปี คลอง 12 หกวา ผ่านการท่องเที่ยวโดยชุมชน
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่น่าสนใจอีกหนึ่งชิ้นงานของ ผศ.ดร.พิษณุ แก้วตระพาน อาจารย์สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ดำเนินการโครงการวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบสภาผู้นำเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ 4 สายคลอง (คลอง 10-13) สู่การรองรับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำเศรษฐกิจของเกษตรกร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
สำหรับโครงการวิจัยเรื่อง "การพัฒนารูปแบบสภาผู้นำเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ 4 สายคลอง (คลอง 10-13) สู่การรองรับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของเกษตรกร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี" ได้รับทุนจาก วช. เพื่อทำการศึกษาและวิเคราะห์ สถานการณ์ของการทำเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ 4 สายคลอง ตั้งแต่คลอง 10 ถึงคลอง 13 โดยการมีส่วนร่วมของเกษตรกร มีการพัฒนารูปแบบและกลไกสภาผู้นำเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ต้นแบบ สู่การรองรับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำเศรษฐกิจของเกษตรกร และสามารถลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของเกษตรกร การวิจัยมีลักษณะเป็นงานวิจัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น โดยใช้กระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (PAR) โดยการวิจัยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก การสัมภาษณ์กลุ่ม การสังเกตการณ์ และมีการใช้เครื่องมือวิจัยชุมชนแบบมีส่วนร่วม เช่น timeline แผนที่เดินดิน โอ่งชีวิต และตุ๊กตาเกษตรกร เป็นต้น งานวิจัยนี้ มีการขับเคลื่อนผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิจัย ชุมชน เกษตรต้นแบบ และภาคีเครือข่าย ผ่านการร่วมคิดร่วมดำเนินการภายใต้กระบวนการวิจัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น
ในงานดังกล่าว ผศ.ดร.ภิศักดิ์ กัลยาณมิตร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์, รศ.ดร.สุชาดา พงศ์กิตติวิบูลย์ ผู้ดูแลด้าน"กลไกบริหารจัดการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากภาคกลาง" พร้อมด้วยคณะนักวิจัยและผู้นำชุมชน ประกอบด้วย นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลลำไทร นายกสมาคมสภาองค์กรชุมชนคนปทุมธานี ผู้ประสานขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดปทุมธานี เจ้าของตลาด ผู้ประกอบการร้านค้า ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการ รมว.อว.กล่าวว่า กระทรวง อว.ได้สนับสนุนงานวิจัยเพื่อชุมชนท้องถิ่นจากการวิจัยโดย วช. มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนงานวิจัยมาใช้ประโยชน์ภายใต้แผนงานการวิจัยเพื่อท้องถิ่น (Community-Based Research : CBR) ประจำปี 2565 (ภาคกลาง) ซึ่ง วช. ได้ให้ทุนวิจัยแก่ มรภ.วไลยอลงกรณ์ฯ ในการดำเนินโครงการ “การพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานราก และลดความเหลื่อมล้ำของชุมชน ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ด้วยการพลิกฟื้นตลาดเก่าและย่านเมืองเก่า 100 ปี คลอง 12 หกวา ผ่านการท่องเที่ยวโดยชุมชน
ในแวดวงงานวิจัยของไทย ทาง วช.ยังได้เปิดตัว ศาสตราจารย์ ดร.จินตวีร์ คล้ายสังข์ ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาการศึกษา ประจำปี 2566 ผ่านงานแถลงข่าว “NRCT TALK โชว์ นักวิจัยดีเด่น ปี 2566 ครั้งที่ 4” ซึ่งเป็นผู้คิดค้นผลงานวิจัยที่สร้างองค์ความรู้ใหม่และมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยีการศึกษาและสื่อสารการศึกษาในวงกว้าง ตลอดจนการต่อยอดเป็นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาให้สามารถนำผลวิจัยไปใช้งานได้จริง
นายเอนก บำรุงกิจ รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดงาน ณ ศูนย์จัดการความรู้การวิจัย อาคาร วช.1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และ กล่าวว่า วช. ภายใต้กระทรวง อว. มีภารกิจที่สำคัญในการยกย่อง เชิดชู ประกาศเกียรติคุณหรือยกย่องบุคคลหรือหน่วยงานด้านการวิจัยและนวัตกรรม โดยเป็นผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการส่วนรวม
"ปี 2566 วช. ได้มอบรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ประจำปี 2566 ใน 4 ประเภท ได้แก่ รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ รางวัลผลงานวิจัย รางวัลวิทยานิพนธ์ และ รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับนักวิจัยและนักประดิษฐ์ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ให้พัฒนาและสร้างองค์ความรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม ตลอดจนการพัฒนาไปสู่การประยุกต์ใช้องค์ความรู้เพื่อต่อยอด ไปสู่นวัตกรรมทางเศรษฐกิจหรือนวัตกรรมทางสังคมได้" นายเอนกกล่าว
ศาสตราจารย์ ดร.จินตวีร์ คล้ายสังข์ นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ กล่าวว่า เริ่มทำการศึกษาวิจัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบัน ด้วยแรงผลักดันที่อยากเป็นต้นแบบให้กับนิสิต นักศึกษา ให้เกิดความใฝ่รู้ จึงเริ่มศึกษาวิจัยและนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยี และสื่อสารการศึกษา ทำให้มีความเชี่ยวชาญพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะ และระบบเสริมในการเรียนออนไลน์ การเรียนแบบผสมผสาน ห้องเรียนกลับด้าน สภาพแวดล้อมการเรียนรู้เสมือน การพัฒนาแอปพลิเคชัน (Application) ช่วยสอนด้วยแชท บอท ร่วมกับอุปกรณ์เทคโนโลยีสวมใส่ เพื่อเป็นตัวช่วยในการเรียนรู้ในบริบทต่าง ๆ
"งานวิจัยที่ทำอยู่จะมุ่งเน้นประโยชน์ใน 4 มิติที่สำคัญ มิติที่ 1 Acadamic contribution งานวิจัยนวัตกรรมจะต้องเน้นให้ผู้เรียนเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ ทั้งในเรื่องทักษะสมรรถนะทางวิชาชีพ soft skill ทักษะการคิดต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญกับ User Experience คือประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และ User Interface Design ให้เหมาะสมกับบริบทและตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด มิติที่ 2 Co-creation การทำงานร่วมกับศาสตร์สาขาวิชาอื่น ๆ เช่น การทำงานร่วมกับอาจารย์คณะแพทยศาสตร์ในการพัฒนาสมรรถนะทางวิชาชีพของนักศึกษาแพทย์ โดยการพัฒนานวัตกรรมแอปพลิเคชั่นที่ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ไมโครคอนโทรลเลอร์และหุ่นจำลองในการพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพของนักศึกษาแพทย์ มิติที่ 3 International collaboration การสร้างเครือข่ายในระดับสากล โดยร่วมมือกับอาจารย์นักวิจัยในต่างประเทศ เพื่อเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีและการจัดการเรียนรู้ เพื่อเตรียมพร้อมให้คนไทยสามารถที่จะเป็นพลเมืองโลก ได้อย่างเหมาะสม มิติที่ 4 Scalability การร่วมมือเป็นเครือข่ายการทำวิจัยและนวัตกรรมกับภาคเอกชน เพื่อยกระดับงานวิจัยให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือวิจัยและนวัตกรรมต่อไป” ศาสตราจารย์ ดร.จินตวีร์กล่าว
ที่สำคัญกับผลงานล่าสุดของ วช. คือ การนำคณะนักประดิษฐ์, นักวิจัยไทย 37 หน่วยงาน คว้ารางวัลระดับนานาชาติในงาน “The 48th Intenation Exhibition of Investions Geneva” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ถึง 30 เมษายนที่ผ่านมา ณ นครเจนีวา สมาพันธ์รัฐสวิส ซึ่งงานนี้เป็นเวทีที่สำคัญของสหภาพยุโรป มีนักวิจัยทั่วโลกนำผลงานกว่า 1,000 ผลงาน จาก 40 ประเทศ เข้าร่วมผลงานมากกว่า 10,000 คน
สำหรับ “นักประดิษฐ์ไทย” ที่สามารถคว้ารางวัลพิเศษของงาน On Stage คือ รางวัล Industrial Design Prize จากผลงานเรื่อง “นวัตกรรมแผงกันแดดปรับได้อัตโนมัติแบบประหยัดด้วยพลังงานแสงอาทิตย์” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พฤฒิพร ลพเกิด และรองศาสตราจารย์ ศรีศักดิ์ พัฒนวศิน แห่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับรางวัลจาก Pour la Suisse Romande de I’Association สวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้งยังมีประดิษฐ์กรรม และนวัตกรรมอีก 3 ผลงานที่ได้รับ Special Prizes on Stage จากองค์กรนานาชาติ ได้แก่ 1.ผลงานเรื่อง “AragoShine: เกล็ดแคลเซียมคาร์บอเนตชีวภาพที่เป็นประกายแวววาว” โดย ศาสตราจารย์ ดร.สนอง เอกสิทธิ์ แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลจาก Delegation of Saudi Arabia ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย, 2.ผลงานเรื่อง “นวัตกรรมเซลล์โฟโตอิเล็กโตรคะตะไลติกร่วมกับโซลาร์เซลล์ สำหรับการบำบัดน้ำเสียและระบบผลิตน้ำสะอาด” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ฉัตรชัย พลเชี่ยว แห่ง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้รับรางวัลจาก Office des Brevets de Pologne สาธารณรัฐโปแลนด์ และ 3.ผลงานเรื่อง “การคัดกรองมะเร็งเต้านมทางไกลโดยใช้ระบบบริหารจัดการภาพ อัลตราซาวด์สามมิติอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์” โดย ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิงจิรายุ เอื้อวรากุล แห่ง ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้รับรางวัลจาก Delegation of Hong Kong เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ไม่เพียงเท่านี้ นักประดิษฐ์นักวิจัยไทยยังคว้าเหรียญรางวัลจากเวที Geneva ในประเภทต่างๆ ได้แก่ Gold Medal with the Congratulations of the Jury 3 ผลงาน , Gold Medal 27 ผลงาน , Silver Medal 42 ผลงาน และ Bronze Medal 52 ผลงาน รวมถึงนักวิจัยไทยยังได้รับรางวัลผลงานพิเศษอย่าง Special Prizes จากประเทศต่างๆ ทั้งโปรตุเกส เกาหลีใต้ , มาเลเซีย , ไต้หวัน และประเทศอื่นๆ โดยผลงานที่ได้รางวัลเหรียญทองเกียรติยศ ได้แก่ ผลงานเรื่อง “เซนเซอร์อัจฉริยะตรวจวัดระดับน้ำตาลสะสมในเลือด” โดย ศาสตราจารย์ ดร.เกศรา ณ บางช้าง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ผลงานเรื่อง “อุปกรณ์ฝึกหายใจแบบชาญฉลาด” โดย ดร. กิตติคุณ ทองพูล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ ผลงานเรื่อง “เทคโนโลยีต้นทุนต่ำสำหรับการตรวจคัดกรองภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิดด้วยปัญญาประดิษฐ์” โดย ศาสตราจารย์ ดร. แพทย์หญิงจิรายุ เอื้อวรากุล จาก “ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์”
เรียกว่า ปีนี้เป็นปีกระต่ายทองของ “วช.” ที่ไม่ได้มาพร้อมโชค แต่ทั้งหมดที่ได้มา มาจากผลของความวิริยะความ พยายาม ตั้งใจ อดทน และขยันในการมุ่งมั่นทำงานวิจัยอย่างไม่ย่อท้อ จนนำมาสู่รางวัลดังกล่าวในเวทีโลก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี