ฝนตก น้ำท่วม จะขับรถยังไงไม่ให้รถดับกลางทาง รวม 7 เทคนิคขับขี่ปลอดภัย เครื่องไม่พัง รถไม่ดับ คนมีรถทุกคนห้ามพลาด เพื่อการเดินทางราบรื่นทุกหน้าฝน
ช่วงฤดูฝนที่ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง มักสร้างปัญหาน้ำท่วมขังบนท้องถนนหลายแห่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนหลายคน การขับรถฝ่าเส้นทางที่มีน้ำท่วมจึงกลายเป็นความท้าทายที่ต้องเผชิญ หากขับขี่ไม่ถูกวิธี อาจทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายหนักถึงขั้นเครื่องยนต์ดับกลางทาง บทความนี้ขอนำเสนอ 7 เทคนิคการขับรถลุยน้ำท่วมอย่างปลอดภัย เพื่อให้รถของคุณไม่ดับกลางทาง และเดินทางถึงที่หมายได้อย่างไร้กังวล
การขับรถลุยน้ำท่วมต้องอาศัยเทคนิคและการประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ เพื่อให้รถของคุณผ่านพ้นอุปสรรคไปได้อย่างปลอดภัย
หากเจอฝนตกหนักและถนนเริ่มมีน้ำขัง สิ่งแรกที่ต้องทำคือหยุดประเมินระดับน้ำก่อนลุยต่อ ระดับน้ำที่ถือว่าปลอดภัยไม่ควรเกิน 30 เซนติเมตร สามารถดูได้จากฟุตบาทริมถนน ซึ่งปกติมีความสูงประมาณ 10 - 20 เซนติเมตร ถ้าน้ำเริ่มสูงกว่าฟุตบาทชัดเจน ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้นจะดีกว่า หรือใช้ล้อรถเป็นเกณฑ์ ถ้าน้ำอยู่ประมาณครึ่งล้อยังสามารถขับผ่านได้ แต่ถ้าสูงจนเกือบถึงขอบประตู ควรหยุดทันที เพราะเสี่ยงที่น้ำจะเข้าห้องโดยสาร ทำให้ระบบไฟฟ้าเสียหายและเครื่องยนต์ดับกลางทางได้ง่าย ๆ
เมื่อขับรถเข้าใกล้บริเวณที่มีน้ำท่วมขัง ควรลดความเร็วลงอย่างช้า ๆ และรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากขึ้น การขับด้วยความเร็วสูงจะทำให้น้ำกระเด็นเข้าสู่ห้องเครื่องหรือระบบไฟฟ้าได้ง่าย ซึ่งอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อเครื่องยนต์ได้ นอกจากนี้ การขับเร็วเกินไปยังอาจทำให้เกิดคลื่นน้ำที่จะไปรบกวนรถคันอื่นหรือบ้านเรือนริมทาง
การขับรถลุยน้ำควรใช้เกียร์ต่ำ เช่น เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 สำหรับรถเกียร์ธรรมดา หรือเกียร์ L สำหรับรถเกียร์อัตโนมัติ การใช้เกียร์ต่ำจะช่วยให้เครื่องยนต์มีกำลังส่งแรงบิดที่เพียงพอในการขับเคลื่อนผ่านแรงต้านของน้ำ และลดความเสี่ยงที่รถจะดับกลางทาง ที่สำคัญคือต้องรักษาความเร็วให้คงที่ ไม่เร่งเครื่องหรือปล่อยคันเร่งกะทันหัน
เมื่อต้องขับรถผ่านน้ำท่วมขัง ควรปิดแอร์รถยนต์ทันที เพราะพัดลมระบายความร้อนของแอร์จะหมุนและพัดน้ำเข้าไปในห้องเครื่อง รวมถึงอาจทำให้ใบพัดของพัดลมหม้อน้ำหักได้ นอกจากนี้ การปิดแอร์ยังช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ ทำให้รถมีกำลังในการขับเคลื่อนผ่านน้ำได้ดีขึ้น
เมื่อขับรถบนถนนที่เปียกหรือมีน้ำท่วมขัง ประสิทธิภาพในการเบรกจะลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ น้ำยังอาจทำให้เกิดอาการรถเหินน้ำ (Hydroplaning) หรือการที่ยางรถลอยตัวบนผิวน้ำ ทำให้สูญเสียการควบคุมรถได้ชั่วขณะ ดังนั้น ควรเพิ่มระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติอย่างน้อย 2-3 เท่า และหลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหัน หากจำเป็นต้องเบรก ให้แตะเบรกเบา ๆ หลาย ๆ ครั้งแทนการเหยียบเบรกแรง ๆ ครั้งเดียว เพื่อลดความเสี่ยงที่รถจะล้อหมุนฟรีหรือเสียการควบคุม
หลังจากขับรถผ่านพ้นบริเวณน้ำท่วมมาแล้ว สิ่งที่ควรทำคือการย้ำเบรกเบา ๆ ซ้ำ ๆ หลายครั้งสำหรับรถเกียร์อัตโนมัติ หรือเหยียบคลัตช์และย้ำเบรกสำหรับรถเกียร์ธรรมดา เพื่อช่วยไล่น้ำที่เกาะอยู่บนผ้าเบรกและจานเบรกออกไป ทำให้ประสิทธิภาพการเบรกกลับมาเป็นปกติ และยังช่วยลดความเสี่ยงที่ระบบเบรกจะเสื่อมสภาพจากการสะสมของน้ำ
หลังจากขับรถผ่านน้ำท่วมและถึงจุดหมายปลายทางหรือพื้นที่ปลอดภัยแล้ว อย่าเพิ่งดับเครื่องยนต์ทันที ควรจอดรถทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 10-15 นาที การทำเช่นนี้จะช่วยให้ความร้อนจากเครื่องยนต์ระเหยน้ำที่อาจเข้าไปในระบบไอเสียหรือส่วนอื่น ๆ ของเครื่องยนต์ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายจากความชื้น
นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสที่ดีในการสังเกตว่า มีน้ำรั่วซึมเข้ามาในห้องโดยสารหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบการทำงานของระบบต่าง ๆ ว่าปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติ ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดโดยเร็วที่สุด
การขับรถลุยน้ำท่วมต้องอาศัยทั้งความรู้และความระมัดระวัง การประเมินสถานการณ์อย่างถูกต้อง ควบคู่กับเทคนิคการขับขี่ที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณผ่านพ้นสถานการณ์น้ำท่วมได้อย่างปลอดภัย และเพื่อความอุ่นใจในการเดินทางทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในสถานการณ์ปกติ หรือการขับขี่ในวันที่ฝนตกหนักจนมีน้ำท่วมขัง การมีประกันรถยนต์ ก็เป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นประกันชั้น 1 ประกันชั้น 2, 2+ หรือประกันชั้น 3, 3+ เลือกให้เหมาะกับการใช้งานและสภาพรถ เพื่อให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี