กฤษฎีกากับการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์

กฤษฎีกากับการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์

วันอังคาร ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

การพัฒนากฎหมายมีความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชนทุกคน ในปัจจุบัน เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิต การทำงาน และการดำเนินธุรกิจ หรือแม้แต่การปฏิบัติราชการของหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น การสนับสนุนให้การพัฒนาเทคโนโลยีเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือแนวคิด technology for public goods จึงสำคัญอย่างยิ่ง เป็นหัวข้อที่ตามมาซึ่งคำถามทั้งทางกฎหมาย ธรรมาภิบาล และจริยธรรมของการพัฒนา ให้บริการ และนำเทคโนโลยีไปใช้

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้มีบทบาทโดยตรงในการกำหนดนโยบายด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ Artificial Intelligence (AI) แต่ในฐานะที่เป็นหน่วยงานกลางทางกฎหมายที่มีหน้าที่ให้ความเห็นทางกฎหมายแก่คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ ตรวจสอบ แก้ไขและยกร่างกฎหมายของรัฐบาล รวมทั้งมีหน้าที่ในการพัฒนากฎหมายของประเทศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สำนักงานฯ ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถเตรียมการรองรับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายของประเทศให้รองรับกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านั้น และในขณะเดียวกันก็เพื่อสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ


เมื่อกล่าวถึง AI เราได้เห็นแนวทางการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาปรับใช้ในภาคประชาชนและธุรกิจ โดยเฉพาะการสร้าง Chatbot ที่มีความฉลาดสามารถตอบและประมวลผลจากคำถามของผู้ใช้งานได้ใกล้เคียงหรือเสมือนเป็นการพูดคุยสนทนากับมนุษย์ด้วยกัน กล่าวคือ AI มีความสามารถเพิ่มมากขึ้นในการเข้าใจรูปแบบและลักษณะของข้อมูล และนำความเข้าใจในข้อมูลนั้นไปสร้างแนวทางการตอบคำถามหรือการสร้างข้อมูลชุดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  หากพิจารณาการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในวงการกฎหมาย เราเริ่มเห็นการนำ AI ในรูปแบบใหม่ หรือ Generative AI มาใช้ต่อยอดการบริหารจัดการข้อมูลกฎหมาย เช่น การแก้ไขและชำระข้อมูลที่มีความบกพร่องหรือตกหล่นด้วยการประมวลผลข้อมูลในรูปแบบภาษาธรรมชาติ (natural language processing) หรือการนำ AI มาช่วยการกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มเพื่อลดต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎหมายของประชาชนและผู้ประกอบการ เช่น การกรอกใบคำร้องต่ออายุใบอนุญาต หรือ การกรอกเอกสารยื่นภาษีเงินได้ เป็นต้น

ด้วยศักยภาพและโอกาสในการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงผลกระทบและปัจจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้มาใช้ในสังคมไทย โดยในปัจจุบันอาจแบ่งประเด็นพิจารณาออกได้เป็นทั้งหมดสามเรื่องหลัก ดังนี้

1. ปัจจัยด้านกฎหมาย (legal implications) เทคโนโลยี AI มีผลเพิ่มความเป็นอิสระในการดำเนินการให้แก่อุปกรณ์หรือระบบต่าง ๆ ซึ่งในกรณีที่มีการดำเนินการที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่สวัสดิภาพของบุคคล จำเป็นที่จะต้องมีแนวทางในการกำหนดความผิดและผู้รับผิดชอบในความผิดนั้น (harm and causation of harm) ในเรื่องนี้ หน่วยงานด้านกฎหมายต่างประเทศเริ่มให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น คณะกรรมการพัฒนากฎหมายแห่งประเทศสหราชอาณาจักร (UK Law Commission) ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมายเกี่ยวกับ AI (AI and the Law: a discussion paper) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 โดยมีการตั้งประเด็นไว้ว่าอาจต้องพิจารณาปรับปรุงกฎหมายแพ่งเพื่อรองรับการกำหนดความรับผิดชอบและผู้รับผิดชอบในกรณีที่อุปกรณ์เครื่องใช้หรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์สร้างความเสียหายต่อผู้ใช้งาน นอกจากนั้น ยังมีการตั้งประเด็นเพิ่มเติมว่า จำเป็นต้องมีการกำหนดประเภทของบุคคลเพิ่มเติม (จากประเภทบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) ให้แก่ระบบ AI ที่มีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลและดำเนินการเป็นการทั่วไปได้เสมือนมนุษย์หรือไม่

2. ปัจจัยด้านการกำกับดูแล (regulatory implications) นอกเหนือจากปัจจัยและข้อคำถามด้านกฎหมายแล้ว การพัฒนาสังคมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI อาจมีความจำเป็นต้องพิจารณากฎหมายเชิงกำกับดูแลประกอบควบคู่ไปด้วย การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจหรือการดำเนินชีวิตของประชาชนเป็นต้นทุนที่ควรกำหนดเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาที่หากปล่อยให้เอกชนหาวิธีการแก้ไขอาจไม่ทันการณ์หรืออาจสร้างความเสียหายเพิ่มเติมโดยเฉพาะต่อกลุ่มคนที่ไม่มีอิทธิพลหรือไม่มีอำนาจต่อรอง ปัญหาเหล่านี้อาจเรียกรวมได้ว่าเป็นปัญหาความบิดเบือนของตลาด (market distortion) หรือความล้มเหลวของตลาด (market failure) หากใช้กฎหมายกำกับดูแลแบบพร่ำเพรื่อหรือไม่สอดคล้องกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข อาจะส่งผลเป็นการเพิ่มต้นทุนในการดำรงชีวิตของประชาชนโดยไม่จำเป็น ตัวอย่างเช่น ในประเทศสิงคโปร์ รัฐบาลเลือกที่จะไม่ออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลเทคโนโลยี AI เป็นการทั่วไป แต่เลือกที่จะออกกฎหมายกำกับดูแลการนำ AI ไปใช้ในบางกรณี (specific use case) เช่น เรื่องยานยนต์ไร้คนขับ (autonomous vehicle) เป็นต้น

3. ปัจจัยด้านการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี (innovation promotion) ปัจจัยสุดท้ายที่หน่วยงานด้านกฎหมายอาจเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจดิจิทัล ได้แก่ การช่วยเหลือสนับสนุนให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม การสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี AI เกี่ยวข้องกับหลายเรื่อง เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีคลาวด์ (cloud computing) การสร้างส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับคอมพิวเตอร์ รวมถึงการส่งเสริมให้มีการสร้างทุนมนุษย์ที่มีทักษะความสามารถพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงและกลายไปเป็นกำลังสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในอนาคต เป็นต้น เรื่องเหล่านี้บางเรื่องจำเป็นต้องใช้การผลักดันด้านกฎหมายเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงหลักการที่มีส่วนในการสนับสนุนการผลักดันสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะเรื่องการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในฐานะหน่วยงานทางกฎหมายของรัฐบาล เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าวนี้ และจะดำเนินภารกิจด้านการพัฒนากฎหมายโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศต่อไป

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top