ส่องการประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 4 ชุดที่ 20

ส่องการประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 4 ชุดที่ 20

วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 13.20 น.
Tag :

การประชุมเต็มคณะ หรือ “Plenary Session” (Plenum) เป็นกลไกการตัดสินใจระดับสูงสุดของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ซึ่งทำหน้าที่กำหนดทิศทางและนโยบายสำคัญของประเทศในช่วงที่ไม่มีการประชุมสมัชชาพรรคแห่งชาติ การประชุมครั้งที่ 4 (Fourth Plenum) มักได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วง “กึ่งกลางวาระ” ที่พรรคจะใช้ประเมินผลการดำเนินงานและกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับช่วงต่อไป

สำหรับการประชุมครั้งที่ 4 ชุดที่ 20 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20–23 ตุลาคม 2025 ณ กรุงปักกิ่ง ถือเป็นจุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์สำคัญที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้กำหนดกรอบของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี ครั้งที่ 15 (ค.ศ. 2026–2030) เพื่อวางรากฐานสู่เป้าหมาย “การทำให้ประเทศจีนทันสมัยอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2035”


นอกจากมิติทางเศรษฐกิจแล้ว การประชุมครั้งนี้ยังมีนัยทางการเมืองภายในพรรค โดยเป็นการยืนยันความต่อเนื่องของการนำโดย สี จิ้นผิง ในสมัยที่ 3 และการปรับโครงสร้างภายในเพื่อเสริมเอกภาพและประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ จึงอาจกล่าวได้ว่า การประชุมครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนา แต่ยังเป็น “สัญญาณแห่งความมั่นคงและวิสัยทัศน์” ของจีนในการขับเคลื่อนประเทศสู่ยุคแห่ง การพัฒนาเชิงคุณภาพสูง และ ความมั่นคงเชิงรุก เพื่อรับมือกับบริบทโลกที่ซับซ้อนในศตวรรษที่ 21

ประเด็นหลักและวาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้

ภายหลังการปิดประชุมเต็มคณะเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2025 รัฐบาลจีนได้เผยแพร่เอกสาร Communiqué อย่างเป็นทางการ ซึ่งสรุปสาระสำคัญของการประชุมที่ทั่วโลกจับตามองในฐานะ “การประชุมกำหนดยุทธศาสตร์ระยะกลางของประเทศ”

การอนุมัติ “ข้อเสนอ” สำหรับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี ครั้งที่ 15

หัวใจสำคัญของการประชุมคือการอนุมัติ “ข้อเสนอ” (Recommendations) เพื่อเป็นกรอบสำหรับการจัดทำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี ครั้งที่ 15 (ค.ศ. 2026–2030) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างแผนชุดที่ 14 (2021–2025) ที่เน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด กับเป้าหมายระยะยาวปี 2035 ในการสร้างประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัยอย่างสมบูรณ์ ในเอกสาร Communiqué มีข้อความสำคัญที่ระบุว่า “จีนอยู่ในช่วงที่มีโอกาสเชิงกลยุทธ์ควบคู่ไปกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น” ถ้อยคำนี้สะท้อนให้เห็นว่าพรรคตระหนักถึงแรงกดดันสองด้านที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ คือ โอกาสจากการเติบโตของเทคโนโลยีและตลาดภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการพัฒนาในระยะต่อไป

แนวทางหลักของแผนพัฒนาใหม่

เอกสาร Communiqué ได้ระบุ “แนวทางหลักของการพัฒนา (Guiding Principles)” สำหรับแผน 5 ปีครั้งใหม่ไว้อย่างชัดเจน เพิ่มเติมแนวคิด “การให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” (People-Centered Approach) ประกอบด้วย

ยึดมั่นการนำของพรรค – พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นศูนย์กลางกำหนดยุทธศาสตร์และทิศทางการพัฒนาในทุกมิติ เพื่อให้การขับเคลื่อนประเทศเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
ให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง – นโยบายทุกระดับมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่
พัฒนาเชิงคุณภาพสูง – ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจจากเชิงปริมาณสู่ความยั่งยืน โดยเน้นเทคโนโลยี นวัตกรรม และการผลิตมูลค่าเพิ่ม
ปฏิรูปเชิงลึก – ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การเงิน และระบบบริหารภาครัฐ เพื่อสร้างกลไกที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ พร้อมขยายการเปิดประเทศอย่างเหมาะสม
เสริมพลังตลาดควบคู่บทบาทรัฐ – ใช้กลไกตลาดเป็นแรงขับหลัก แต่ให้ภาครัฐกำกับและสนับสนุนภาคส่วนยุทธศาสตร์
ผสานการพัฒนากับความมั่นคง – มั่นใจว่าความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ พลังงาน เทคโนโลยี และอาหารคือฐานรากของการพัฒนาในระยะยาว

แนวทางเหล่านี้สะท้อนจุดยืนใหม่ของพรรคในการ “สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตกับความมั่นคง” โดยเน้นเสถียรภาพเป็นเงื่อนไขของการเติบโตที่ยั่งยืน

การปรับโครงสร้างภายในพรรค

การประชุมครั้งนี้ยังได้ประกาศการปรับเปลี่ยนบุคลากรระดับสูงภายในพรรค มีการแต่งตั้ง “สมาชิกตัวจริง (Full Members)” เพิ่มจาก “สมาชิกสำรอง (Alternate Members)” และโยกย้ายตำแหน่งในภาครัฐและกองทัพบางส่วน เพื่อเสริมสร้างเอกภาพและความเข้มแข็งขององค์กรพรรค นักวิเคราะห์มองว่า การปรับโครงสร้างดังกล่าวเป็นสัญญาณของการ “รวมศูนย์อำนาจอย่างต่อเนื่อง” ภายใต้การนำของ สี จิ้นผิง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมือง ลดแรงต้านจากกลุ่มผลประโยชน์ และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการบริหารในระยะยาว

ผลสะท้อนต่อประชาคมโลก

การประชุมครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการกำหนดนโยบายภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ต่อประชาคมโลกอย่างกว้างขวาง ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ความมั่นคง และภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่โครงสร้างอำนาจโลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากระเบียบโลกแบบตะวันตกไปสู่ระเบียบโลกพหุขั้วซึ่งจีนมีบทบาทนำมากขึ้น

จีนประกาศ “ยุคแห่งการพัฒนาเชิงคุณภาพสูง”

การยืนยันแนวทาง “การพัฒนาเชิงคุณภาพสูง” สะท้อนว่าจีนกำลังเปลี่ยนบทบาทจาก “โรงงานของโลก” ไปสู่ “ศูนย์กลางนวัตกรรมของโลก” การลงทุนขนาดใหญ่ในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมชิปขั้นสูง ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์ห่วงโซ่อุปทานและการวิจัยพัฒนาใหม่

เส้นทาง “พึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี” กับการจัดระเบียบอุตสาหกรรมโลกใหม่

คำประกาศของ สี จิ้นผิง เรื่อง “การพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี” มีผลต่อการจัดโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับโลกโดยตรง จีนมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศ ทั้งอุตสาหกรรมอวกาศ ชิป และระบบดิจิทัล นโยบายนี้เปิดโอกาสให้ประเทศใน Global South เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในฐานะพันธมิตรด้านทรัพยากร วัตถุดิบ และตลาดบริโภค จนเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจโลกแบบ “พหุขั้วทางเทคโนโลยี” ที่หลากหลายกว่าการเผชิญหน้าแบบสองขั้วในอดีต

นโยบาย “พัฒนาและมั่นคง” กับสมดุลใหม่ทางภูมิรัฐศาสตร์

หลักการ “ผสานการพัฒนากับความมั่นคง” สะท้อนแนวทางของจีนที่เน้น “เสถียรภาพก่อนการขยายอิทธิพล” โดยจะใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจและการทูตมากกว่าการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจ และการทูตเชิงพัฒนา เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของจีนในฐานะ “ประเทศมหาอำนาจที่เติบโตอย่างรับผิดชอบ”

ผลต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการค้า

เมื่อจีนหันมาเน้น “ตลาดภายในประเทศ” และ “การบริโภคภาคครัวเรือน” มากขึ้น โครงสร้างการค้าโลกย่อมเปลี่ยนจากการพึ่งพาการส่งออกของจีน ไปสู่การกระจายศูนย์การผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และแอฟริกา ซึ่งเป็นทั้งฐานแรงงานและตลาดเกิดใหม่ ในระยะสั้น ความต้องการพลังงานสะอาด วัตถุดิบสีเขียว และสินค้าเกษตรจะเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ในระยะยาว การเติบโตของนวัตกรรมภายในจีนอาจลดการนำเข้าจากตะวันตกบางประเภท แต่เพิ่มการนำเข้าด้านวัตถุดิบและพลังงาน ส่งผลให้การค้าโลกปรับตัวจากโครงสร้าง “แนวตั้ง” สู่ “แนวนอน” ที่มีความเชื่อมโยงแบบสมดุลมากขึ้น

บทบาทของจีนในระเบียบโลกใหม่

การประชุมครั้งนี้ยังสะท้อนความพยายามของจีนในการเปลี่ยนจาก “ผู้ปฏิบัติตาม” ไปสู่ “ผู้กำหนดกติกา” ในระบบเศรษฐกิจโลก จีนผลักดันบทบาทขององค์กรอย่าง BRICS+ และ Shanghai Cooperation Organization ให้เป็นกลไกทางเศรษฐกิจและการเงินระดับภูมิภาค เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่ที่มีความยุติธรรมและสมดุลกว่า

ทั้งนี้ ผู้เรียบเรียงเห็นว่า การประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 4 ชุดที่ 20 เป็นจุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ที่สะท้อนการพัฒนาประเทศอย่างมีทิศทางและมั่นคง จีนแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ผสาน “การเติบโตเชิงคุณภาพ” เข้ากับ “ความมั่นคงระยะยาว” ภายใต้หลักการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง แผนพัฒนา 5 ปีฉบับใหม่มุ่งสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ นวัตกรรม และสังคม พร้อมเสริมพลังเทคโนโลยีเพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศ การปรับโครงสร้างภายในพรรคยังช่วยเสริมเอกภาพและประสิทธิภาพในการกำหนดนโยบายระดับชาติ ในมิติระหว่างประเทศ จีนกำลังแสดงบทบาทของ “ผู้นำเชิงสร้างสรรค์” ที่มุ่งส่งเสริมความร่วมมือมากกว่าความขัดแย้ง และเปิดโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนาเข้ามามีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจพหุขั้วมากขึ้น โดยสรุป จีนกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการพัฒนาอย่างมีคุณภาพ มั่นคง และยั่งยืน ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและความร่วมมือระดับโลกในทศวรรษต่อไป

เรียบเรียงโดย ดร.กฤตติกา เศวตอมรกุล เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร / รองคณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top