วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
รศ.ดร.พรรณี เผย ทีมนักวิจัย 4 มหาวิทยาลัยผนึกกำลัง เตรียมยกระดับ เขาชีจรรย์ สู่นวัตกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม-ศาสนายั่งยืน
รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณี สวนเพลง อาจารย์ปรจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ผู้อำนวยการศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญทางด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า "พระพุทธรูปทองคำใหญ่ที่สุดในโลก ณ เขาชีจรรย์: นวัตกรรมเลเซอร์ตามพระราชดำริรัชกาลที่ 9 สร้างประสบการณ์จิตวิญญาณ ยกระดับพัทยาสู่จุดหมายท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศาสนา"
นอกจากนี้ พัทยา จะไม่ใช่แค่ไนต์ไลฟ์อีกต่อไป! นักวิจัยไทยเปิดเผยเรื่องราวเบื้องหลัง พระพุทธรูปแกะสลักทองคำใหญ่ที่สุดในโลก ที่ เขาชีจรรย์ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนภาพลักษณ์พัทยาสู่ "ฮับท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา" ระดับโลก ด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์แกะสลักที่ "ไม่เคยมีที่ไหนในโลก" และสร้างประสบการณ์ทางจิตวิญญาณให้ผู้มาเยือน
ในงานนี้ ดร. ถนอม อินทรกำเหนิด นายกสภามหาวิทยาลัยสวนดุสิต ให้ความสนใจร่วมผลักดันการวิจัยสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงสาธารณะ คณะผู้วิจัย คณะผู้วิจัยนำทีมโดย ศ.ดร. พิเชษฐ์ ลิ้มสุวรรณ และ รศ.ดร. พรรณี สวนเพลง พร้อมด้วยทีมงานวิจัยจาก 4 มหาวิทยาลัยได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้าธนบุรี, มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ร่วมกันพัฒนางานวิจัย “Laser-Carved Legacy: Exploring the Scientific Construction and Cultural Significance of the World’s Largest Golden Buddha in Thailand through a Tourist Perspective” ซึ่งเป็นผลงานวิจัยที่รวบรวมเอกสารข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ พระราชกรณียกิจของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ทรงมีพระราชดำริที่สำคัญในการสร้าง “พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา” (พระพุทธรูปแกะสลักเขาชีจรรย์)
เพื่อเฉลิมพระเกียรติครบ 50 ปีแห่งการครองราชย์ (พ.ศ. 2539) โดยทรงเน้น ความยั่งยืน ความปลอดภัย และความเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ และเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวยาวนากว่า 30 ปี ซึ่งต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์เมือง “พัทยาเมืองท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาศูนย์กลางความเชื่อและศรัทธา” ผ่าน DRAMA Model ที่ประเมินประสบการณ์ท่องเที่ยวเขาชีจรรย์ที่เป็น New Landmark แห่งใหม่ที่เป็นการเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้น
“พระพุทธรูปพระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักทองคำใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ที่เขาชีจรรย์ พัทยา พื้นที่ด้านหน้าและด้านข้างหน้าผาเขาชีจรรย์ที่กำหนดไว้สำหรับการออกแบบภูมิทัศน์ รวมถึงสระน้ำขนาดใหญ่ สวนอเนกประสงค์ และพื้นที่บริการอื่นๆ ครอบคลุมประมาณ 193 ไร่ (76.29 เอเคอร์) พื้นที่นี้ตั้งอยู่ที่ฐานหน้าผาเขาชีจรรย์ ซึ่งรวมพื้นที่หินประมาณ 15 ไร่ (5.93 เอเคอร์) ด้านหน้าพระพุทธรูป ดังนั้น โครงการแกะสลักพระพุทธรูปบนหน้าผาเขาชีจรรย์จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาพื้นที่เขาชีจรรย์ให้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์เพื่อรองรับและสนับสนุนผู้มาเยี่ยมชมที่มาสักการะพระพุทธรูป รวมถึงเป็นสถานที่สำหรับทำสมาธิหรือพักผ่อนหย่อนใจสำหรับประชาชนทั่วไป
โดยวัดยานนาวา ร่วมกับศิษยานุศิษย์ เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ภายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ได้จัดตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการพระราชดำริ เพื่อดูแลการออกแบบพระพุทธรูปที่จะแกะสลักบนหน้าผาเขาชีจรรย์ คณะกรรมการนี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้และหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง หลังจากการพิจารณาอย่างละเอียด ได้ตัดสินใจว่าสามารถแกะสลักพระพุทธรูปบนหน้าผาได้ และจะออกแบบเป็นพระพุทธรูปนั่งในท่ามารวิชัย สูง 109 เมตร นั่งบนฐานบัวสูง 21 เมตร รวมความสูงทั้งสิ้น 130 เมตร และกว้าง 70 เมตร อีกทั้งวัดยานนาวาและคณะกรรมการได้แต่งตั้งกรมทรัพยากรธรณีให้สำรวจหน้าผา ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญแกะสลักหินจากมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เพื่อตรวจสอบลักษณะหินของหน้าผา ได้ข้อสรุปว่าพระพุทธรูปสามารถแกะสลักได้เฉพาะแบบนูนต่ำหรือเส้นนูนบนหินธรรมชาติของหน้าผา
การออกแบบพระพุทธรูปได้เสนอต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 สำนักราชเลขานุการในพระองค์ทรงแจ้งว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อนุมัติโครงการ พร้อมพระราชทานคำแนะนำว่าควรแกะสลักเป็นภาพเส้นแต่ทำให้ลึกและชัดเจนเพื่อมองเห็นได้จากระยะไกล และไม่ควรสร้างเป็นนูนต่ำเนื่องจากปัญหาการบำรุงรักษา เนื่องจากหน้าผาเป็นหินปูน นอกจากนี้ ยังต้องมีมาตรการความปลอดภัยโดยกำหนดพื้นที่ด้านหน้าพระพุทธรูปเป็นเขตหวงห้าม วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 คณะกรรมการที่รับผิดชอบการสร้างพระพุทธรูปบนหน้าผาเขาชีจรรย์ได้เลือกบริษัท International Blaster Co., Ltd. เป็นผู้รับเหมาแกะสลักพระพุทธรูป งบประมาณก่อสร้างกำหนดไว้ที่ 43,305,800 บาท (ประมาณ 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ด้วยระยะเวลาก่อสร้าง 12 เดือน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาฝ่ายสงฆ์
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการบริหารโครงการ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นรองประธาน พระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผาเขาชีจรรย์เสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2539 และเปิดให้ประชาชนเข้าชมอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2544 จากมุมมองการท่องเที่ยว พัทยา ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญในจังหวัดชลบุรี
ผลวิเคราะห์จากโมเดล DHARMA ยืนยันบทบาทเชื่อมโยงกันของอัตลักษณ์จุดหมายปลายทาง คุณค่ามรดก ประสบการณ์การรู้จัก ประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ความประทับใจที่จดจำได้ และความผูกพัน ในการกำหนดความคิดเห็นนักท่องเที่ยวที่เขาชีจรรย์ โมเดลนี้แสดงว่าลักษณะทางภูมิศาสตร์เอกลักษณ์ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ส่งเสริมประสบการณ์นักท่องเที่ยวที่หมายความและยั่งยืน โดยเฉพาะอิทธิพลของอัตลักษณ์จุดหมายปลายทางต่อคุณค่ามรดก และความเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์ที่น่าจดจำกับความผูกพัน เน้นความสามารถของสถานที่สร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่ขับเคลื่อนความภักดีและความตั้งใจกลับมาเยี่ยมชม
ผลกระทบของการศึกษามีสองด้าน ประการแรก แสดงศักยภาพการบูรณาการเทคโนโลยีเลเซอร์เข้ากับ
โครงการมรดกวัฒนธรรม ปูทางสำหรับการประยุกต์ใช้ในอนาคตเรื่องบูรณะ บันทึก และอนุรักษ์สถานที่ทางประวัติศาสตร์ ประการที่สอง ให้ข้อมูลปฏิบัติสำหรับการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเน้นใช้ประโยชน์จากอัตลักษณ์จุดหมายปลายทาง เพิ่มการมีส่วนร่วมในสถานที่ และส่งเสริมความเชื่อมโยงทางอารมณ์ เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้มาเยือนและความยั่งยืนระยะยาว
นัยยะเชิงนโยบายและการจัดการ: ผลวิจัยให้คำแนะนำปฏิบัติสำหรับการจัดการจุดหมายปลายทางและพัฒนาการท่องเที่ยว ททท. ควรบูรณาการมรดกพระราชวงศ์และพุทธศาสนาของเขาชีจรรย์เข้ากับแคมเปญส่งเสริมระดับชาติ การตลาดดิจิทัลบน WeChat และ Instagram มุ่งนักท่องเที่ยวจีน (30% ของผู้มาเยือนพัทยาในปี 2567) และอินเดีย ควรเน้นภาพพระพุทธรูปที่ช่วยด้วยเลเซอร์เป็นสัญลักษณ์นวัตกรรมวัฒนธรรมและเทคโนโลยี คุณค่าการอนุรักษ์สูง แนะนำกรมศิลปากรแสวงหาสถานะมรดกโลก UNESCO สำหรับเขาชีจรรย์ ใช้วิธีอนุรักษ์ยั่งยืนคล้ายอังกอร์วัด เพื่อเพิ่มการยอมรับโลกและเงินทุนอนุรักษ์ นักนโยบายจังหวัดชลบุรีพัฒนาความคิดริเริ่มโต้ตอบ เช่น เวิร์กช็อปสมาธิหรือเทศกาลวัฒนธรรมตามวิสาขบูชาเชียงใหม่ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมผู้มาเยือนและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น กลยุทธ์เหล่านี้เสริมบทบาทเขาชีจรรย์ปรับตำแหน่งพัทยาจาก "เมืองหลวงแห่งเพศ" สู่จุดหมายท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและอุดมวัฒนธรรม การปรับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวพัทยา:
การเปลี่ยนเขาชีจรรย์เป็นสถานที่สำคัญทางจิตวิญญาณนำเสนอโอกาสโดดเด่นปรับตำแหน่งพัทยาเป็นจุดหมายชั้นนำท่องเที่ยววัฒนธรรมและศาสนา โดยเน้นมรดกพระราชวงศ์ สภาพแวดล้อมสงบ และการก่อสร้างช่วยด้วยเลเซอร์นวัตกรรม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียท่องเที่ยวดึงดูดกลุ่มผู้มาเยือนหลากหลาย รวมครอบครัวและผู้แสวงหาจิตวิญญาณ ต่อต้านภาพลักษณ์เน้นไนต์ไลฟ์ การเน้นโมเดล DHARMA ต่อความประทับใจจดจำได้และความผูกพัน เน้นศักยภาพกิจกรรมเล่าเรื่องประวัติภาพพระพุทธรูปหรือทัวร์ดิจิทัล immersive ส่งเสริมความเชื่อมโยงอารมณ์ลึกซึ้ง ส่งเสริมการมาเยือนซ้ำและยกระดับความน่าดึงดูดโลกของพัทยาในฐานะจุดหมายท่องเที่ยวหลากหลาย แม้มีส่วนสนับสนุน การศึกษายอมรับข้อจำกัด มุ่งเน้นสถานที่เดียวและพึ่งข้อมูลข้ามภาค
การวิจัยอนาคตควรแก้ไขผ่านประยุกต์โมเดล DHARMA กว้างขึ้นและวิเคราะห์ตามยาว อย่างไรก็ตาม การวิจัยนี้พัฒนาความเข้าใจพลวัตท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและบทบาทเทคโนโลยีอนุรักษ์มรดก ให้พื้นฐานสอบสวนวิชาการและกลยุทธ์จัดการจุดหมายปลายทางปฏิบัติที่เขาชีจรรย์และที่อื่นๆ
สามารถอ่านเอกสารฉบับเต็มที่ได้ที่ https://www.mdpi.com/2673-5768/6/4/201
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณี สวนเพลง อาจารย์ปรจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ผู้อำนวยการศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญทางด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เลขที่ 295 ถนนราชสีมา แขวงดุสิต เขตดุสิต กทม. 10300 เลขานุการโครงการ ดร.นวนันทน์ ศรีสุขใส โทร 0802282290 , 02-2445972
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี