DPU เปิดบ้าน CIBA-CITE Innovation Cluster ชู 'ลงมือทำ' ปั้นบุคลากรดิจิทัลพร้อมลงสนาม

DPU เปิดบ้าน CIBA-CITE Innovation Cluster ชู 'ลงมือทำ' ปั้นบุคลากรดิจิทัลพร้อมลงสนาม

วันศุกร์ ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 16.12 น.
Tag :

DPU เปิดบ้าน CIBA-CITE Innovation Cluster ชู 'ลงมือทำ' ปั้นบุคลากรดิจิทัลพร้อมลงสนาม

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดงาน DPU Open House 2025 ระหว่างวันที่ 13–15 พฤศจิกายน 2568 โดยคลัสเตอร์นวัตกรรม (Innovation Cluster) ซึ่งประกอบด้วยวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) และวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี (CITE) ได้นำเสนอแนวทางการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติจริงด้วยอุปกรณ์ทันสมัย เพื่อช่วยให้นักเรียนค้นพบความถนัดและเตรียมพร้อมสู่ตลาดแรงงานดิจิทัลอย่างมั่นใจ โดยมีพันธมิตรมากมายในการร่วมสนับสนุน บริษัท มิวซิกมูฟ จำกัด ค่ายเพลง Boxx Music  บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เถ้าแก่น้อย ฮาร์ทบีท ถั่วลิสงโก๋แก่ ซีเล็คทูน่า แลคตาซอย Major Cineplex Blu-O เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และ Viu Thailand


ภายในงาน Open House ครั้งนี้ถูกออกแบบให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้สำรวจแนวทางการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับโลกธุรกิจและนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยกิจกรรมทั้งหมดมุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมได้ "ลงมือปฏิบัติจริง" และสัมผัสกับชิ้นงานที่ใช้ในภาคธุรกิจจริง โดย ผศ.ดร.ชัยพร เขมะภาตะพันธ์ คณบดีวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี (CITE)  และ อาจารย์วสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ คณบดีวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA)    จัดกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้ทดลองใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์จริง เช่น Workshop การเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ด้วย AI, การปรับแต่งเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์ด้วย Dyno Test, การทดลองใช้ระบบจัดการคลังสินค้า WMS, เกมจำลองการตัดสินใจธุรกิจ "Mini CEO Game" และการสร้างทีม Start-up เพื่อฝึกการนำเสนอไอเดียธุรกิจ รวมถึงการใช้ AI Lab สร้างสรรค์ผลงานที่พาไปใช้ได้จริง

'จับต้องได้' คือหัวใจ CITE สร้างความมั่นใจให้วิศวะ

อาจารย์ธนกฤต แก้วนุ้ย รองคณบดีวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี CITE-DPU เผยว่า กิจกรรมได้รับการตอบรับจากน้องๆ นักเรียนเป็นอย่างดี มาจากนโยบายที่เน้นการนำเทคโนโลยีที่ “จับต้องได้” มาให้นักเรียนได้ “ลองทำ” และค้นพบความถนัดของตนเอง กิจกรรมไฮไลต์ของ CITE จึงเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สัมผัสเทคโนโลยีที่ใกล้ชิดและเข้าถึงได้ อาทิ Workshop การทดลองใช้ระบบการจัดการคลังสินค้า WMS เสมือนทำงานจริงในภาคธุรกิจ การเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์อัจฉริยะด้วย AI และกิจกรรม Motorcycle Engine Tuning & Dyno Test ที่เปิดโอกาสให้ปรับแต่งเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์และทดสอบสมรรถนะด้วยเครื่องมือจริง

CITE ยังตระหนักว่านักศึกษาที่เข้ามาศึกษามีพื้นฐานที่หลากหลาย จึงเน้นการสร้าง ระบบสนับสนุนที่เข้มแข็ง เพื่อรองรับผู้เรียนทุกระดับความสามารถ โดยมีตั้งแต่การปรับพื้นฐานก่อนเปิดเรียนจริง นอกจากนี้อาจารย์ทุกคนยังมีบทบาทมากกว่าผู้สอนวิชาการ แต่พร้อมดูแลเป็นที่ปรึกษาที่รับฟังและช่วยเหลือในทุกมิติ

“นักศึกษาที่หลุดจากระบบมักเกิดจากปัญหาในชีวิต ส่วนตัวมากกว่าปัญหาการเรียน” อาจารย์ธนกฤต กล่าวว่า การดูแลที่ครอบคลุมนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้อัตราการได้งานของบัณฑิตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 95% และหลายคนสามารถเติบโตขึ้นเป็นผู้จัดการด้วยอายุที่ไม่มาก ซึ่งแสดงถึงคุณภาพหลักสูตรและการเรียนการสอนที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดแรงงาน

CIBA ใช้ ‘ธุรกิจเป็นตัวตั้ง’ พร้อมให้ทุนเริ่มต้น

ขณะที่สายวิศวกรรมเน้นการปฏิบัติจริงเพื่อพร้อมลงสนาม CIBA มุ่งสร้างผู้ประกอบการดิจิทัลผ่านการคิดวิเคราะห์ตั้งแต่ปีแรก โดยยึดหลัก “ตัวธุรกิจเป็นตัวตั้ง” ให้นักศึกษาเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ กิจกรรมในงาน Open House ครั้งนี้จึงจัดขึ้นภายใต้ธีม Paradise ซึ่งสื่อถึง “ความสำเร็จ” ที่เกิดจากการค้นพบตัวตนและศักยภาพของผู้เรียน โดยกิจกรรมต่าง ๆ ถูกออกแบบให้สะท้อนว่า ไม่ว่าจะอยู่ในสายบัญชี โลจิสติกส์ การตลาด หรือธุรกิจระหว่างประเทศ ทุกคนสามารถสร้างนวัตกรรมได้จากจุดที่ตนเองยืนอยู่

ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสกระบวนการสร้างธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม เช่น Mini CEO Game ที่ให้นักเรียนลองคำนวณต้นทุน–กำไร–ขาดทุนในสถานการณ์จำลอง, การสร้างทีม Start-up เพื่อฝึกการนำเสนอไอเดียธุรกิจ (Pitch), และการบุก AI Lab เพื่อทดลองใช้เทคโนโลยีในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ของตนเอง

อาจารย์สุรชัย สวนทับทิม รองคณบดี วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี CIBA-DPU อธิบายว่า นักศึกษาจะได้เริ่มต้นจากการ “เปิดร้านค้าหนึ่งร้าน” ตั้งแต่ช่วงปรับพื้นฐานก่อนเปิดเทอม เพื่อเรียนรู้การทำธุรกิจอย่างเป็นระบบ โดยฝึกวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าและออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนวัตกรรมที่แท้จริง

หนึ่งในตัวอย่างล่าสุดคือ การสนับสนุนเงินทุนเริ่มต้นกลุ่มละ 3,000 บาท ให้นักศึกษาได้ลงมือทำธุรกิจจริง เสมือนกู้เงินจากธนาคาร พร้อมเรียนรู้การบริหารต้นทุน กำไร และการวางแผนโลจิสติกส์อย่างครบวงจร ซึ่งนักศึกษาที่เริ่มจากการขายแซลมอนดอง ได้กำไรเท่าตัว และยังต่อยอดธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งวันนี้ก็มาขาย

การเรียนรู้ยังครอบคลุมวิชาหลักด้านธุรกิจ ได้แก่ การตลาด การจัดการ และบัญชี โดยเน้นการคำนวณต้นทุน การกำหนดราคาขาย และการวางแผนคลังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ไม่มีดอกเบี้ยเหมือนธนาคารจริง แต่การให้ทุนเริ่มต้นนี้คือการฝึกให้รู้จักใช้เงินอย่างมีเป้าหมาย

“ไม่ว่าผู้เรียนจะกลายเป็นผู้ประกอบการหรือไม่ การฝึกคิด วิเคราะห์ และลงมือทำผ่านกระบวนการนี้จะช่วยให้เข้าใจวิธีสร้างสิ่งใหม่และรู้จักวิธีเดินต่อ แม้จะเริ่มต้นจากร้านเล็กๆ ก็ตาม ดังนั้นน้องๆ นักเรียนมั่นใจได้ว่าตลอดเส้นทางการเรียนจะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยนำทางในทุกๆ ด้าน เพื่อให้ทุกคนก้าวสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นคง นอกเหนือจากรายได้ระหว่างเรียนที่นักศึกษาสร้างได้”

หัวใจ CIBA ที่ปรึกษาชีวิต

ควบคู่ไปกับความเข้มข้นในหลักสูตร อาจารย์สุรชัย ระบุว่า CIBA ยังให้ความสำคัญกับระบบการดูแลและเป็นที่ปรึกษาแก่นักศึกษา ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้ อาจารย์พร้อมดูแลผู้เรียนอย่างเต็มที่และสร้าง พื้นที่ปลอดภัย ในการเข้าถึงคำแนะนำ “นักศึกษาจะรู้สึกอบอุ่น และรู้สึกปลอดภัยกับการที่จะมาเจออาจารย์ที่เปิดพร้อมให้ผู้เรียนเข้าหาและเข้าถึงได้"

การดูแลแบบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอาจารย์สุรชัย เพราะปัญหาที่ทำให้นักศึกษาหลุดจากระบบส่วนใหญ่มักเป็นปัญหาด้านความรู้สึกและครอบครัวเป็นหลัก อาจารย์จึงทำหน้าที่เป็น “เมนเทอร์” ที่ไว้ใจได้ คอยแนะนำให้นักศึกษาเรียนรู้วิธีรับมือและตัดสินใจด้วยตัวเอง เพื่อให้พวกเขากล้าเปิดใจพูดคุยถึงความรู้สึก การได้รับคำปรึกษาที่เหมาะสมนี้เองคือสิ่งช่วยนำทางให้ใช้เวลา 4 ปีอย่างมีคุณค่า และตรงตามความต้องการของตนเอง

“นักศึกษาหลายคนกังวลเรื่องครอบครัว บางคนพูดกับพ่อแม่ไม่ได้ หรือรู้สึกผิดเมื่อต้องเลือกตามใจตัวเอง การได้คุยกับอาจารย์ช่วยให้กล้าเปิดใจ พูดถึงสิ่งที่เคยเก็บไว้เงียบๆ และเมื่อได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม หลายคนก็เริ่มแชร์กันในกลุ่มเพื่อน เกิดความเข้าใจร่วมว่า ปัญหาเหล่านี้ไม่ผิด ไม่แปลก และไม่ต้องแบกไว้คนเดียว หลายครั้งสิ่งที่อาจารย์พูดก็ทำให้พวกเขาได้ทบทวนว่า เราต้องอยู่กับสิ่งที่เลือกไปอีกนาน การเรียน 4 ปีอาจจะไม่ยาวนาน แต่คุณต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองทั้ง 4 ปี แทนที่จะได้ความรู้จากสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ใช่ตัวเอง”

“อบอุ่น-เวลาสงสัยก็มีคนให้ถาม” จนเห็นภาพอนาคตชัดเจนขึ้น

จากมุมของอาจารย์ที่ทำงานใกล้ชิดกับนักศึกษาเป็นพิเศษ บรรยากาศในงาน Open House ครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นมากกว่าการสอนในห้องเรียน “น้องอั้ม-นางสาวชวัลญา สุรเดช” “น้องหมวย-นางสาวนิธิกานต์ มหาชัย” และ “น้องตัง-นายศุภวิทย์ พลายแก้ว” จากโรงเรียนวรรัตน์ศึกษา ที่ตัดสินใจมากันเองทันทีที่เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ ขณะที่ยังเรียนอยู่ชั้น ม.5 เล่าว่า ความประทับใจแรกไม่ใช่แค่อุปกรณ์ล้ำสมัยหรือเกมกิจกรรมที่สนุก แต่เป็นการต้อนรับที่ทำให้รู้สึกว่า “ที่นี่มีคนดูแลจริง” ทำให้ทุกอย่างดูไม่เกร็ง และช่วยให้มองเห็นภาพของการเรียนที่นี่ชัดขึ้น

“ก่อนมา หนูได้ยินว่าที่นี่ดูแลนักศึกษาดีมากจากลูกพี่ลูกน้องที่เรียนที่นี่ พอมาเห็นเองก็เข้าใจเลย เพราะถึงเราจะแค่มาวันแรก อาจารย์กับพี่ๆ ก็เดินเข้าหาและตั้งใจช่วยกันอธิบายทุกอย่างแบบเข้าใจง่าย ทำให้รู้สึกสบายใจและมั่นใจในทางที่เราเลือก” น้องอั้ม อธิบาย

ขณะที่ น้องหมวยและน้องตังเสริมว่า การที่อาจารย์เข้ามานั่งคุยกับนักเรียนด้วยตัวเอง ทำให้รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเป็น “เด็กเก่ง” เท่านั้นจึงจะเข้าใกล้ผู้ใหญ่ได้ ความใส่ใจของรุ่นพี่และอาจารย์ที่นี่แตกต่างจากงาน Open House ที่เคยไปมาอย่างชัดเจน “อย่างแรกเลย หนูรู้สึกว่ารุ่นพี่ใส่ใจมากกว่าที่อื่น และที่สำคัญคืออาจารย์เองก็เข้ามานั่งคุยกับนักเรียนด้วย ไม่เคยเจอมหาวิทยาลัยไหนทำแบบนี้มาก่อน มันเปิดโลกหนูเลย”

ไม่เพียงแต่เรื่องการเรียน หลังจากที่อาจารย์รู้ว่าน้องอั้มทำแบรนด์เครื่องประดับ ก็ได้ช่วยชี้แนะแนวทางธุรกิจและเติมกำลังใจให้ต่อยอดได้ชัดเจนขึ้น ทำให้เธอมองเห็นภาพการพัฒนาธุรกิจของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ไอเดียลอยๆ อีกด้วย

นักเรียนทั้งสามคน ยังยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ความแตกต่างของ CIBA คือการเปิดโอกาสให้ได้ “ลองเรียนรู้จริงๆ” ผ่านกิจกรรมหลากหลาย และที่สำคัญที่สุดคือการมีผู้ใหญ่ที่พร้อมรับฟังและให้คำแนะนำ การได้พูดคุยกับอาจารย์อย่างใกล้ชิดและเป็นกันเอง ทำให้รู้สึกว่ามีพื้นที่ปลอดภัยในการแบ่งปันความคิดและความรู้สึก แม้ในเรื่องที่ยังไม่กล้าตัดสินใจเลือก แต่ประสบการณ์เหล่านี้ค่อยๆ ช่วยให้เริ่มมองเห็นเส้นทางของตัวเองชัดขึ้นทีละนิด ในแบบที่เป็นไปได้จริง

“พวกหนูชอบคุยกับผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่มีประสบการณ์จริง เคยลองทำมาแล้ว ทำให้เราได้เข้าใจง่ายกว่าที่เราจะไปหาข้อมูลเอง ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือแม้แต่เรื่องส่วนตัว พอโตขึ้นปัญหามันใช่แค่ความรู้ และถ้าวันหนึ่งมีเรื่องที่ไม่มั่นใจหรือกังวล การที่อาจารย์เดินเข้าหาเราพวกหนูแบบนี้ ทำให้หนูมั่นใจว่า ถ้าเข้ามาเรียนที่นี่ วันหนึ่งถ้ามีเรื่องที่ไม่มั่นใจหรือกังวล ก็จะมีคนที่พร้อมให้คำปรึกษาเราได้จริงๆ ค่ะ” น้องอั้ม เผย

เปิดโอกาส ลงมือทำจริง เติบโตไปด้วยกันในทุกเส้นทาง

ด้าน นางสาวณิชาภัทร สำราญใจ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิศวกรรมโลจิสติกส์ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี CITE-DPU ยืนยันว่าหลักสูตรครอบคลุมการทำงานตั้งแต่ "ต้นน้ำยันปลายน้ำ" รวมถึงการนำระบบอัตโนมัติ เช่น ASRS และ AGV ที่ใช้ในคลังสินค้าจริงมาให้นักศึกษาได้ศึกษา เพื่อให้เข้าใจการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ

"ถ้าเราทำไม่เป็นเราก็จะสั่งผู้ปฏิบัติงานไม่ได้ เพราะถ้าเราทำไม่เป็น ผู้ปฏิบัติงานก็ไม่เชื่อเรา" นางสาวณิชาภัทร กล่าว พร้อมให้ความมั่นใจว่าแม้วิชา "วิศวะ" อาจฟังดูยาก แต่บรรยากาศการเรียนที่นี่เป็นแบบ "ครอบครัว" อาจารย์พร้อมที่จะช่วยเหลือและ "จี้ให้ทุกคนได้เหมือนกันทุกคน"

สำหรับเส้นทางการเติบโตในอาชีพ อาจารย์ธนกฤต กล่าวว่า แม้การเน้นคุณภาพหลักสูตรและการเรียนการสอนอาจไม่เห็นผลในทันที แต่ผลตอบรับจากตลาดแรงงานสะท้อนชัดว่าแนวทางนี้ได้ผลจริง บัณฑิตจำนวนมากสามารถเติบโตในสายงานอย่างรวดเร็ว หลายคนก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการตั้งแต่อายุยังน้อย จนเจ้าของบริษัทยังต้องถามว่า “เรียนรู้เรื่องเหล่านี้มาจากไหน”

เพื่อเสริมสร้างเส้นทางอาชีพอย่างเป็นระบบ วิทยาลัยยังจัดโครงการ “Alumni Series” เชิญศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จในฐานะ CEO, Co-founder หรือเจ้าของธุรกิจ มาแบ่งปันประสบการณ์และต่อยอดองค์ความรู้ให้กับนักศึกษา โครงการนี้ถือเป็นเกณฑ์บังคับของทุกสาขา เพื่อให้นักศึกษาได้เห็นภาพจริงของเส้นทางอาชีพ และได้รับแรงบันดาลใจจากคนที่เคยยืนอยู่จุดเดียวกัน

ขณะที่ในเชิงกลยุทธ์วิทยาลัยได้ปิดหลักสูตรที่ถูก Disruption ไปแล้วหลายสาขา และมุ่งเน้นเฉพาะสาขาที่อยู่ในกระแสและเป็นกลไกขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต เช่น วิศวกรรมคอมพิวเตอร์, ยานยนต์สมัยใหม่, เทคโนโลยีสารสนเทศและปัญญาประดิษฐ์   และโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นสาขาที่ "ไม่ใช่ว่าจบอะไร ก็ทำได้" แต่เป็นศาสตร์ที่ต้องมีทักษะ มีองค์ความรู้ทางเทคนิคเฉพาะทางสำหรับผู้ที่เรียนมาเท่านั้นถึงจะทำได้

อาจารย์ธนกฤต ยังย้ำว่า “ความสามารถในการเรียนเก่งหรือไม่เก่งไม่ใช่หน้าที่ของนักศึกษา แต่เป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยที่จะออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน” และแนะนำว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกสาขาคือ “ความชอบ” และ “ความตั้งใจ” เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเติบโตอย่างยั่งยืน

“การเลือกเรียนในสายวิชาชีพเฉพาะทางอย่างวิศวกรรมศาสตร์หรือธุรกิจนวัตกรรม คือการสร้างความได้เปรียบในเส้นทางอาชีพ เพราะเป็นศาสตร์ที่ต้องมีทักษะ มีองค์ความรู้ทางเทคนิคเฉพาะทางสำหรับผู้ที่เรียนมาเท่านั้นถึงจะทำได้  ฉะนั้นไม่ต้องกลัวความยาก เพราะในชีวิตจริง งานยากกว่านี้มาก แต่ด้วยระบบสนับสนุนที่แข็งแรงและการดูแลแบบครอบครัว ทุกคนจะพร้อมก้าวสู่การเป็นบุคลากรดิจิทัลที่ตลาดแรงงานต้องการ”

 



 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top