วันจันทร์ ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ก่อนลงทุนระบบ Factory Automation ต้องรู้จัก 5 ความท้าทายด้านพลังงาน เพื่อวางแผนและเตรียมพร้อมรับมือก่อนตัดสินใจลงทุน
การก้าวเข้าสู่ยุค Industry 4.0 ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลกต่างเร่งลงทุนในระบบอัตโนมัติ หรือ Factory Automation เพื่อเป้าหมายสำคัญในการลดต้นทุนแรงงาน, เพิ่มความแม่นยำ, และเพิ่มกำลังการผลิตให้สูงขึ้น หลายองค์กรวาดภาพโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) ที่สายการผลิตทำงานได้เองตลอด 24 ชั่วโมง
แต่ในความเป็นจริง มี "ต้นทุนแฝง" และ "ความเสี่ยง" สำคัญที่มักถูกมองข้ามในการวางแผน นั่นคือ "ความท้าทายด้านพลังงาน"
การนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาในสายการผลิต เปรียบเสมือนการเปลี่ยนจาก "แรงงานคน" ไปเป็น "แรงงานเครื่องจักร" ซึ่งหมายความว่าภาระการใช้พลังงานของโรงงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง การลงทุนในระบบ Factory Automation โดยไม่วางแผนด้านพลังงานรองรับ อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

แม้จะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาล แต่การลงทุนในระบบอัตโนมัติ (Automation) ก็สร้างความท้าทายด้านพลังงานที่ซับซ้อนเช่นกัน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจร GREENERGY ได้ให้ข้อสังเกตว่า 'โรงงานอัตโนมัติส่วนใหญ่ ไม่ได้ล้มเหลวที่ตัวหุ่นยนต์ แต่ล้มเหลวที่การวางแผนพลังงานซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่รัดกุม' ดังนั้นไปดูกันว่า 5 ความท้าทายหลักด้านพลังงานที่ผู้ประกอบการโรงงานต้องทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่มีอะไรบ้าง
ความท้าทายแรกที่โรงงานมักพบเจอคือตัวเลขในบิลค่าไฟที่สูงขึ้นในส่วนของ "ค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด" (Peak Demand) การที่หุ่นยนต์และเครื่องจักรในสายการผลิตอัตโนมัติเริ่มทำงานพร้อมกัน หรือทำงานหนักในช่วงเวลาเดียวกัน จะสร้างสภาวะการดึงไฟสูงสุด (Peak) ที่สูงกว่าเดิมมาก
ในโครงสร้างค่าไฟฟ้าของไทย (โดยเฉพาะอัตรา TOU) ค่า Peak Demand นี้ถือเป็นต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ก้อนใหญ่ในแต่ละเดือน แม้คุณจะใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อประหยัดแรงงาน แต่คุณอาจกำลังสร้างต้นทุนก้อนใหม่ที่ควบคุมได้ยากกว่าเดิมขึ้นมาแทน
ระบบ Factory Automation สมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น PLC, เซ็นเซอร์, หรือแขนกลหุ่นยนต์ ล้วนเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความอ่อนไหวต่อคุณภาพไฟฟ้าสูงมาก แตกต่างจากเครื่องจักรกลแบบดั้งเดิมที่อาจทนทานกว่า
ปัญหาไฟตก (Voltage Sag) หรือไฟกระชาก (Voltage Spike) เพียงชั่วเสี้ยววินาที ที่ในอดีตอาจทำให้แค่หลอดไฟกะพริบ แต่สำหรับโรงงานอัตโนมัติ มันอาจหมายถึงการที่สายการผลิตทั้งระบบหยุดชะงัก (Line Stoppage) ทำให้ต้องเสียเวลาในการรีเซ็ตระบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งนั่นหมายถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสและผลผลิตที่สูญหายไปมหาศาล

เป้าหมายหลักของการทำ Automation คือการลดต้นทุนการดำเนินงาน (OPEX) โดยเฉพาะต้นทุนแรงงาน แต่การที่ระบบอัตโนมัติทำงาน 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ หมายถึงการบริโภคพลังงาน (kWh) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หากโรงงานยังคงพึ่งพาไฟฟ้าจากระบบสายส่ง 100% ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นนี้อาจจะสูงมากจนไปกลบตัวเลขที่ประหยัดได้จากค่าแรง ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ไม่เป็นไปตามที่คำนวณไว้ การลดต้นทุนแรงงานจึงอาจกลายเป็นการ "ย้าย" ต้นทุนไปสู่บิลค่าไฟแทน
การใช้พลังงานที่สูงขึ้น ย่อมหมายถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) ที่สูงขึ้นตามไปด้วย (จากการปล่อยคาร์บอนทางอ้อม หรือ Scope 2 Emissions) ในยุคที่คู่ค้าทั่วโลกและนักลงทุนต่างให้ความสำคัญกับปัจจัยด้าน ESG (Environmental, Social, Governance) โรงงานที่ใช้พลังงานสูงอาจถูกมองในเชิงลบ
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปยังยุโรป มาตรการอย่าง CBAM (ภาษีคาร์บอน) จะทำให้ต้นทุนการปล่อยคาร์บอนกลายเป็นต้นทุนทางการเงินที่เกิดขึ้นจริง โรงงานอัตโนมัติที่ดูทันสมัยของคุณ อาจกลายเป็นโรงงานที่ "ก่อมลพิษสูง" และสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

เมื่อโรงงานของคุณกลายเป็น Smart Factory ระบบการจัดการพลังงานแบบเดิมๆ (เช่น การเดินจดมิเตอร์) จะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป คุณจำเป็นต้องมี "ระบบอัตโนมัติด้านพลังงาน" (Energy Automation) เพื่อมาบริหารจัดการ "ระบบอัตโนมัติด้านการผลิต"
คุณต้องรู้แบบเรียลไทม์ว่าเครื่องจักรตัวไหนใช้ไฟเท่าไหร่, พลังงานส่วนใดที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์, และจะวางแผนการผลิตอย่างไรให้สอดคล้องกับช่วงเวลาค่าไฟที่ถูกที่สุด การจะก้าวสู่ Smart Factory ที่แท้จริงได้นั้น ระบบการผลิตอัตโนมัติ (Production Automation) ต้องทำงานควบคู่ไปกับระบบพลังงานอัตโนมัติ (Energy Automation) การทำความเข้าใจองค์รวมของ Factory Automation จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
การลงทุนใน Factory Automation เป็นก้าวที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมไทย แต่การลงทุนนั้นจะสมบูรณ์และยั่งยืนได้ ก็ต่อเมื่อมีการวางแผนด้านพลังงานที่ชาญฉลาดควบคู่กันไป
โรงงานอัตโนมัติแห่งอนาคตต้องการแหล่งพลังงานที่ทั้ง "สะอาด" เพื่อรับมือกับกฎระเบียบโลก, "มั่นคง" เพื่อป้องกันสายการผลิตหยุดชะงัก, และ "บริหารจัดการได้" เพื่อควบคุมต้นทุนอย่างแท้จริง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจาก GREENERGY ได้สรุปไว้อย่างชัดเจนว่า 'โซลูชันอย่าง Solar Rooftop และ EMS จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ของโรงงานอัตโนมัติที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน'"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี