หลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย–จีนรุ่นที่ 2 เปิดเวทีเจาะลึก 'สิทธิประโยชน์ทางศุลกากร' หนุนผู้ประกอบการลดต้นทุน

หลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย–จีนรุ่นที่ 2 เปิดเวทีเจาะลึก 'สิทธิประโยชน์ทางศุลกากร' หนุนผู้ประกอบการลดต้นทุน

วันจันทร์ ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.26 น.

หลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย–จีน (บทจ.) รุ่นที่ 2 เปิดเวทีเจาะลึก “สิทธิประโยชน์ทางศุลกากร” หนุนผู้ประกอบการลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน รับมือสงครามการค้าโลก

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา สถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย–จีน ร่วมกับ สมาคมผู้สื่อข่าวไทย–จีน และหอการค้าไทย–จีน จัดการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “สิทธิประโยชน์ทางศุลกากรเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน” ให้แก่ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย–จีน รุ่นที่ 2 (บทจ.2) ณ ห้องแกรนด์พาโนรามา ชั้น 14 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากกรมศุลกากร ได้แก่ คุณวาสนา สิทธิยานันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการคืนภาษี และ คุณจุมพล อารยตานนท์ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการพิเศษ รักษาการตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาระบบตรวจสอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร มาร่วมถ่ายทอดความรู้เชิงลึกและเทคนิคการบริหารจัดการภาษีอากร เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้แก่ภาคธุรกิจไทยในการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในมิติความร่วมมือไทย-จีน ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม ภายใต้การสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และ China Media Group (CMG)


คุณวาสนา สิทธิยานันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการคืนภาษี ได้เปิดประเด็นด้วยการฉายภาพรวมของสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญที่ภาครัฐใช้ในการสนับสนุนผู้ประกอบการ โดยแบ่งออกเป็นหน่วยงานหลักคือ กรมศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของกรมศุลกากรในการอำนวยความสะดวกทางการค้าผ่าน 2 กลไกหลัก คือ “การชดเชยค่าอากร” และ “การคืนอากรตามมาตรา 29” ซึ่งมีความแตกต่างกันในแง่ของวัตถุประสงค์และวิธีการ โดยการชดเชยค่าอากรนั้นจะมุ่งเน้นไปที่สินค้าที่ผลิตภายในประเทศและส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ รัฐจะจ่ายเงินชดเชยให้ในรูปแบบของ “บัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์” (Digital Tax Coupon) ซึ่งผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ชำระภาษีอากรกับกรมศุลกากร กรมสรรพากร หรือกรมสรรพสามิตได้ โดยบัตรภาษีนี้มีอายุการใช้งาน 3 ปีและสามารถต่ออายุได้รวมสูงสุดถึง 9 ปี สิทธิประโยชน์นี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ SME หรือผู้ส่งออกที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากไม่ต้องยื่นสูตรการผลิตที่ซับซ้อน เพียงแค่มีเอกสารการส่งออกที่ถูกต้องและการรับชำระเงินก็สามารถยื่นขอชดเชยได้ภายใน 1 ปีนับจากวันส่งออก

ในส่วนของการคืนอากรตามมาตรา 29 วิทยากรได้ขยายความว่า มาตรานี้ออกแบบมาสำหรับผู้ผลิตที่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อผลิต ผสม หรือประกอบ แล้วส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ หลักการสำคัญคือผู้ประกอบการต้องชำระอากรขาเข้าหรือวางประกันไว้ก่อน เมื่อดำเนินการผลิตและส่งออกเสร็จสิ้นภายใน 1 ปี จึงจะสามารถนำหลักฐานมายื่นขอคืนอากรได้ ภายในระยะเวลา 6 เดือน โดยเงื่อนไขสำคัญคือต้องมีการยื่น “สูตรการผลิต” เพื่อพิสูจน์ว่าวัตถุดิบที่นำเข้านั้นถูกใช้ไปในกระบวนการผลิตจริงตามปริมาณที่กำหนด ข้อดีของมาตรา 29 คือผู้ประกอบการสามารถใช้โรงงานของตนเองเป็นฐานการผลิตได้โดยไม่ต้องตั้งอยู่ในพื้นที่ควบคุมเฉพาะ และยังสามารถโอนสิทธิ์การคืนอากรให้กับคู่ค้า (Supplier) ในประเทศที่ตนซื้อวัตถุดิบมาผลิตต่อได้อีกด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรองและลดต้นทุนในห่วงโซ่อุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ คุณวาสนายังได้แนะนำถึงระบบการคืนอากรอิเล็กทรอนิกส์ (e-Drawback) ที่กรมศุลกากรกำลังพัฒนาและเริ่มทดลองใช้เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและลดขั้นตอนด้านเอกสาร ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลดิจิทัล

นอกเหนือจากการชดเชยและคืนอากรแล้ว คุณวาสนายังได้กล่าวถึง “คลังสินค้าทัณฑ์บน” (Bonded Warehouse) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้เก็บของ แสดงสินค้า หรือผลิตผสมประกอบ โดยเสมือนเป็นการชะลอการชำระภาษีอากรในขณะนำเข้า ผู้ประกอบการจะชำระอากรก็ต่อเมื่อนำสินค้าออกจากคลังเพื่อจำหน่ายในประเทศเท่านั้น หากส่งออกไปต่างประเทศก็จะได้รับการยกเว้นอากร ซึ่งช่วยบริหารจัดการกระแสเงินสด (Cash Flow) ของธุรกิจได้เป็นอย่างดี คลังสินค้าทัณฑ์บนมีหลายประเภท ทั้งคลังสินค้าทั่วไป คลังสินค้าสำหรับโชว์รูมหรือนิทรรศการ และคลังสินค้าประเภทโรงผลิต ซึ่งผู้ประกอบการที่มีพื้นที่และคุณสมบัติตามเกณฑ์ เช่น ทุนจดทะเบียนและสถานะทางการเงินที่มั่นคง สามารถยื่นขอจัดตั้งได้ โดยต้องปฏิบัติตามระเบียบการควบคุมสินค้าคงคลังและการรายงานต่อกรมศุลกากรอย่างเคร่งครัด

ทางด้าน คุณจุมพล อารยตานนท์ ได้บรรยายเจาะลึกในหัวข้อ “เขตปลอดอากร” (Free Zone) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเปรียบเสมือนดินแดนต่างประเทศในทางศุลกากร ผู้ประกอบการที่ตั้งสถานประกอบการในเขตปลอดอากรจะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด ทั้งการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์ วัสดุก่อสร้างโรงงาน และวัตถุดิบที่นำเข้ามาเพื่อผลิต โดยไม่มีเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาการนำเข้าเหมือนมาตรา 29 นอกจากนี้ จุดเด่นสำคัญของเขตปลอดอากรคือการได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายใต้กฎหมายควบคุมการนำเข้าบางฉบับ เช่น มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) หรือใบอนุญาตจากหน่วยงานบางแห่ง (ยกเว้นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับปศุสัตว์และความมั่นคงบางประเภท) ทำให้เกิดความคล่องตัวในการนำเข้าวัตถุดิบจากทั่วโลกมาบริหารจัดการหรือผลิตเพื่อส่งออก

ประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้เข้าอบรม คือการใช้สิทธิประโยชน์กรณีนำสินค้าที่ผลิตในเขตปลอดอากรออกมาจำหน่ายในประเทศ คุณจุมพลได้อธิบายถึงหลักเกณฑ์ “ถิ่นกำเนิดสินค้า” (Local Content) หากสินค้าที่ผลิตในเขตปลอดอากรมีสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบภายในประเทศ วัตถุดิบจากอาเซียน แรงงาน และค่าใช้จ่ายการผลิต รวมกันเกินกว่า 40% ของราคาสินค้าหน้าโรงงาน ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิลดหย่อนหรือยกเว้นอากรขาเข้าเมื่อนำสินค้านั้นออกมาจำหน่ายในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีการตั้งฐานการผลิตในไทย ตัวอย่างเช่น ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง BYD ที่ใช้ประโยชน์จากเขตปลอดอากรในการนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบเป็นรถยนต์สำเร็จรูป หากสามารถทำสัดส่วน Local Content ได้ตามเกณฑ์ ก็จะสร้างความได้เปรียบทางด้านต้นทุนเมื่อจำหน่ายในประเทศ อย่างไรก็ตาม กรมศุลกากรอยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่และโครงสร้างอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยยังคงได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการจ้างงานอย่างแท้จริง

ในช่วงท้ายของการบรรยาย ได้มีการหยิบยกประเด็นร้อนเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าโลก โดยเฉพาะนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาและการกีดกันทางการค้า วิทยากรทั้งสองท่านได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ “ความถูกต้องของถิ่นกำเนิดสินค้า” (Rules of Origin) เพื่อป้องกันการแอบอ้างสวมสิทธิ์ (Circumvention) โดยสินค้าจากประเทศที่สามมาใช้ไทยเป็นทางผ่านเพื่อเลี่ยงภาษี กรมศุลกากรได้ร่วมมือกับกรมการค้าต่างประเทศในการตรวจสอบความถูกต้องของกระบวนการผลิตอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของสินค้าไทยในตลาดโลก พร้อมทั้งแนะนำให้ผู้ประกอบการเตรียมพร้อมรับมือกับมาตรการตรวจสอบที่เข้มข้นขึ้นจากประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่อาจมีมาตรการตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบ

นอกจากเนื้อหาเชิงวิชาการและธุรกิจแล้ว วิทยากรยังได้ให้ความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้บริหารในการเดินทางไปต่างประเทศ เกี่ยวกับ “ของติดตัวผู้โดยสาร” โดยระบุว่าผู้โดยสารสามารถนำของติดตัวเข้ามาในราชอาณาจักรได้โดยได้รับการยกเว้นอากร หากของนั้นมีมูลค่ารวมไม่เกิน 20,000 บาท และเป็นของใช้ส่วนตัวที่ไม่มีลักษณะทางการค้า ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้าได้ไม่เกิน 1 ลิตร และบุหรี่ไม่เกิน 200 มวน หากเกินกว่าปริมาณที่กำหนดต้องสำแดงต่อเจ้าหน้าที่เพื่อชำระภาษีหรือสละสิทธิ์การนำเข้า ซึ่งถือเป็นความรู้พื้นฐานที่ช่วยให้ผู้บริหารปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎหมาย

การบรรยายในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับระเบียบและสิทธิประโยชน์ทางศุลกากรที่ซับซ้อน แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทใหม่ของกรมศุลกากรที่มุ่งสู่การเป็น “ผู้สนับสนุนทางการค้า” (Trade Enabler) ที่พร้อมรับฟังปัญหาและให้คำปรึกษาแก่ภาคเอกชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง ท่ามกลางความท้าทายของการค้าระหว่างประเทศในยุคปัจจุบัน โดยผู้บริหารที่เข้าร่วมอบรมต่างได้รับความรู้และมุมมองใหม่ๆ ในการวางแผนกลยุทธ์ทางภาษี เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจของตนต่อไป

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top