วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568
องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Thailand Business Council for Sustainable Development: TBCSD) ได้จัดงานประจำปี พ.ศ. 2568 ในธีม “TBCSD Sustainable Business Forum 2025” ขึ้น ณ โรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อเป็นการแสดงจุดยืนของการเป็นผู้นำในภาคธุรกิจไทยด้านความยั่งยืน โดยการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับมาตรฐานองค์กรภาคธุรกิจไทย อันเป็นกลไกสำคัญในการสร้างแรงขับเคลื่อนประเทศในการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG ที่สอดคล้องต่อเป้าหมายของประเทศและเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลก
โดยในงานครั้งนี้มีนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นประธานเปิดงาน และได้รับเกียรติจาก นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มาเป็นองค์ปาฐกพิเศษ พร้อมด้วยผู้บริหารจากองค์กรพันธมิตรจาก 6 หน่วยงานหลักของประเทศ ได้แก่ 1) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย2) หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 3) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์4) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 5) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และ 6)สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) และ ผู้บริหารจากองค์กรสมาชิก TBCSD จำนวน 47 องค์กร ซึ่งครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม การเงิน สินค้าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ทรัพยากร บริการ เทคโนโลยี และอื่น ๆ เข้าร่วมกว่า 400 คน
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นประธานกล่าวเปิดงาน กล่าวว่า “ก้าวต่อไปของ TBCSD ในฐานะเครือข่ายภาคธุรกิจไทยที่ใหญ่ที่สุดเครือข่ายหนึ่งของประเทศที่ร่วมมือกันทำงานเรื่องความยั่งยืนมามากกว่า 30 ปี มีความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานองค์กรภาคธุรกิจไทยไปสู่องค์กรต้นแบบธุรกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน เพื่อร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในมิติต่าง ๆ อันสอดคล้องกับนโยบายของประเทศและทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยการขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคธุรกิจไทยที่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างแรงขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน”
ปาฐกถาพิเศษ โดย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เกียรติมาร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “อนาคตไทยในการเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่ความยั่งยืน” กล่าวว่า “ปัจจุบันรวมถึงอนาคตอันใกล้ ทั่วโลกและประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ ทั้งด้านความมั่นคง อันเกิดจากภัยคุกคามรูปแบบใหม่ แรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และที่สำคัญ คือ แรงกดดันจากทั่วโลกเร่งเข้าสู่การบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emission โดยล่าสุดจากการประชุม COP ครั้งที่ 30 ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ประเทศไทยเน้นย้ำเจตนารมณ์การให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 47 ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับปี 2562 หรือราว 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) ซึ่งคาดว่าภาคพลังงานจะเป็นภาคส่วนหลักที่ต้องมีการปรับตัวอย่างมากต่อการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว รวมถึงต้องมีการยกระดับความพร้อมต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนมาสู่การวางนโยบายด้านพลังงานแห่งอนาคตที่ต้องมีการพัฒนาให้เท่าทันต่อความท้าทายดังกล่าว เพื่อตอบโจทย์นี้ กระทรวงพลังงานจึงได้นำเสนอนโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงานผ่านโครงการต่าง ๆ ที่มากกว่าแค่การส่งเสริมหรือขับเคลื่อนนโยบายแต่ต้องพัฒนาตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน ด้านพลังงาน จนถึงกฎหมายและกฎระเบียบที่มารองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเพื่อให้เกิดการสร้างความยั่งยืนใน
ระยะยาว ซึ่งจากนโยบาย Quick Big Win สามารถนำไปสู่การลงทุนขนาดใหญ่มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านล้านบาท และเป็นก้าวสำคัญที่สนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ได้อย่างยั่งยืน ภายใต้ความท้าทายที่ต้องเผชิญ
ปัจจุบัน นโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงานหลายมาตรการเริ่ม Kick off แล้ว อาทิ โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน เป้าหมาย 1,500 MW ทั่วประเทศ โดย กพช. เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งคาดว่าจะสร้างประโยชน์จากการกระตุ้นการลงทุน และนำมาสู่ประโยชน์ต่อประชาชนรอบโรงไฟฟ้าได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้าจากโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา เพื่อส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี ที่ถือเป็นมาตรการสำคัญที่สนับสนุนให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายการติดตั้ง Solar Rooftopมาลดหย่อนภาษี และอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญของภาคพลังงานประเทศที่มีการ kick off แล้ว คือ การจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP ฉบับใหม่ โดย กบง. มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ เพื่อจัดทำแผน PDP ที่สอดรับกับความท้าทายใหม่ที่เกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นแผนพลังงานฉบับแรกที่เกิดขึ้นภายใต้เป้าหมาย Net Zero 2050 จากตัวอย่างนโยบายที่เริ่ม Kick off เห็นได้ว่า เป็นการสร้างแรงกระตุ้นที่สำคัญต่อการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดอย่างมีนัยสำคัญเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ของประเทศในอนาคต”
บรรยายพิเศษ โดย นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ประธานสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม ให้เกียรติมาร่วมกล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน” กล่าวว่า “ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญกับคลื่นความท้าทายครั้งใหญ่ที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (AI และ Industry 4.0), ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และที่สำคัญที่สุด คือ แรง กดดันด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งนำมาสู่มาตรการทางการค้าใหม่ ๆ ทั่วโลก ปัจจัยเหล่านี้ได้บีบให้ภาคธุรกิจต้องเร่งปรับ โครงสร้างเพื่อมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยประเทศไทยได้ ประกาศเป้าหมายระดับชาติในการบรรลุ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 เพื่อสร้างหลักประกันการเติบโตใน ระยะยาว
ยุทธศาสตร์หลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยคือการนำ โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) มาใช้เป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็น โอกาศทางธุรกิจใหม่ (New S-Curve) ภายใต้แนวคิด "Sustainability Achieve ESG" พร้อมด้วยกลยุทธ์การปรับตัวที่สำคัญคือ "4 GO" ซึ่งประกอบด้วยGo Green, Go Global, Go Digital, และ Go for New S-Curve เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล โดยแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการครอบคลุมการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้วยพลังงานสะอาดและ Climate Tech, การเพิ่มผลิตภาพด้วย Industry 4.0 และ AI, และการบริหารความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้มีการใช้ นวัตกรรมขั้นสูง อาทิ CCUS และ Green Steel เป็นเครื่องมือ สำคัญในการนำอุตสาหกรรมไทยก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน”
นอกจากนี้ TBCSD ได้รับเกียรติจากผู้บริหาร 3 องค์กรด้วยกันในการนำเสนอเกี่ยวกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมโลก "Triple Planetary Crisis" : ภาคธุรกิจไทย ปรับ เปลี่ยน ปลอด หาทางรอดจาก 3 วิกฤตโลก ซึ่งเป็นวิกฤตปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้ส่งผลกระทบในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษ ซึ่งปัญหาสำคัญทั้ง 3 ประการนี้ล้วนมีความเชื่อมโยงกันในทุกมิตินำโดย ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และเลขาธิการองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดร.ธนิต ชังถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ และ ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้แทนกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และเลขาธิการองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนกล่าวว่า “ปัจจุบันประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมโลก 3 ประการ ได้แก่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษ ซึ่งล้วนมีความเชื่อมโยงกันในทุกมิติ หนึ่งในปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่มีความท้าทายทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลกในการหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ได้แก่ ปัญหามลพิษทางอากาศจาก PM2.5 ปัญหามลพิษขยะและขยะพลาสติก โดยปัจจุบันภาคธุรกิจไทยได้มีการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีทุกภาคส่วนในการร่วมแก้ไขปัญหาขยะและการจัดการขยะพลาสติกทั้งในเชิงระดับนโยบายและการปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circularity Ecosystem)ในการจัดการปัญหาขยะพลาสติกและขยะอื่น ๆ อย่างเป็นรูปธรรมบนพื้นฐานของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน อันเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการหมุนเวียนวัสดุและการจัดการขยะอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการลดปริมาณขยะ เพิ่มอัตราการรีไซเคิล และสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุใช้แล้วเพื่อให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย”
ดร.ธนิต ชังถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ กล่าวว่า “Triple Planetary Crisis หรือ วิกฤติสิ่งแวดล้อมโลกสามด้าน ประกอบด้วย Climate Change, Biodiversity Loss และ Pollution เป็นวิกฤติที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน การแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งโดยปราศจากการพิจารณาเชิงระบบไม่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนได้ ทุกภาคส่วนจึงต้องบูรณาการมาตรการเพื่อรับมือกับวิกฤติทั้งสามพร้อมกันอย่างเป็นระบบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่าโลกได้ก้าวข้าม Planetary Boundaries ทางสิ่งแวดล้อมไปแล้ว 7 ด้านจาก9 ด้าน ซึ่ง 1 ในนั้น คือ Biodiversity Loss ที่สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบนิเวศซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจการเสื่อมถอยของความหลากหลายทางชีวภาพส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรที่ธุรกิจพึ่งพา ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลพิษเพิ่มความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนทางการเงิน
วิกฤติสิ่งแวดล้อมจึงมิใช่เพียงประเด็นด้านความยั่งยืน แต่เป็นความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ที่อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและความน่าเชื่อถือขององค์กร พร้อมกันนี้ วิกฤติดังกล่าวยังถือเป็นโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจที่มีการคำนึงถึงการฟื้นฟูธรรมชาติและการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ที่จะเป็นการดำเนินงานเชิงระบบเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Nature Positive และ Net Zero ภายในปี 2030 ต่อไป”
ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้แทนกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “สถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มการดำเนินงานระดับโลก ยุทธศาสตร์และทิศทางนโยบายสำคัญของประเทศไทยที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ผลักดันการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) การผลักดันการดำเนินงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) รวมทั้งการพัฒนาและดำเนินมาตรการ กลไก/เครื่องมือที่จำเป็น เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานจากนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การตรา พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ... และกฎหมายลำดับรอง การจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) เพื่อให้การดำเนินงานสามารถสะท้อนเทคโนโลยีใหม่และสถานการณ์เศรษฐกิจ-สังคมที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันกรมฯ อยู่ระหว่างปรับปรุงแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดทำแผนระยะสั้นที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ (Thailand’s Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy : LT-LEDS) การพัฒนาระบบติดตามและประเมินผล การส่งเสริมองค์ความรู้ การวิจัย นวัตกรรม และการพัฒนาขีดความสามารถ ตลอดจนการสื่อสารและสร้างการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วน และมีแผนจะดำเนินโครงการศึกษาแนวทางการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม (Just Transition) สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทยต่อไป”
โดยในช่วงของการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ภายในงานได้มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ “ก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศไทยด้วย Space Tech สอดคล้องกับกฎหมาย EUDR” จากคณะกรรมการบริหารของ TBCSD และผู้บริหารจากองค์กรพันธมิตร TBCSD ได้แก่ นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) นายปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และ นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยการนำเทคโนโลยีอวกาศและระบบวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ในการตรวจสอบพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน และประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอน อันเป็นการผลักดันการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน
นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธุรกิจกลุ่มเคมีภัณฑ์นั้นมีความท้าทายตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบคาร์บอนต่ำ การพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงและเทคโนโลยีดิจิทัล การขนส่งที่ปล่อยมลพิษต่ำ ความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลง กฎระบบด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ โดยมีแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืน (Sustainable Products) มากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจต้องเร่งปรับตัว ได้แก่ นโยบายและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจเชื้อเพลิงและเคมีภัณฑ์ชีวภาพ การผลิตและการจัดหาน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน ถือเป็นความท้าทายหลักในการมุ่งไปสู่การเป็นธุรกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ว่า “การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน คือ การดำเนินการด้านความยั่งยืนควบคู่กับธุรกิจอย่างบูรณาการ” ดังนั้น ปัจจัยสู่ความสำเร็จที่สำคัญ ก็คือ ความร่วมมือกันทุกภาคส่วน เพื่อมุ่งสู่การเป็นธุรกิจคาร์บอนต่ำและเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกันซึ่งจะสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุถึงเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 ไปด้วยกัน”
นายปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “นิยามของความสำเร็จในปัจจุบันไม่ได้วัดกันแค่ปริมาณ แต่ยังรวมถึงคุณค่าที่ยั่งยืนและโปร่งใส ตรวจสอบได้ กฎหมาย EUDR ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการสอบทวนแหล่งที่มาของสินค้าที่นำเข้ามายังสหภาพยุโรป ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ เทคโนโลยีอวกาศ ปัญญาประดิษฐ์ และแมชชีนเลิร์นนิง จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนและโปร่งใสให้กับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของประเทศไทย เพื่อความสอดคล้องกับกฎหมาย EUDR ตลอดจนช่วยสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้อง ผ่านการดำเนินโครงการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตการเพาะปลูกปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกด้วย”
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก กล่าวว่า “องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริมและรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์และคาร์บอนเครดิต ซึ่ง อบก. ได้พัฒนามาตรฐานโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) หรือโครงการ T-VER ที่ถือว่าเป็นมาตรฐานการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย โดยแบ่งออกเป็น 2 มาตรฐาน ได้แก่ Standard T-VER และ Premium T-VERปัจจุบันคาร์บอนเครดิตจาก Premium T-VER ได้รับการรับรองให้สามารถนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการบิน ภายใต้กลไก CORSIA
นอกจากนี้ Premium T-VER ยังมีความสอดคล้องกับกลไกตามข้อ 6.4 ของความตกลงปารีส โดยให้ความสำคัญที่จะต้องทำให้ปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกต้องเกิดขึ้นมีอยู่อย่างถาวร หรือต้องมีมาตรการเพื่อจัดการกับความเสี่ยงที่จะเกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลับคืนสู่บรรยากาศ รวมทั้งต้องมีการจัดการบรรเทาเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านลบและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของ EUDR นอกจากนี้ อบก. ได้รับรองแพลตฟอร์มเทคโนโลยีสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) จำนวน 4 แพลตฟอร์ม เพื่อสำหรับใช้ประเมินคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำ ลดระยะเวลาและต้นทุนในการตรวจวัดปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของพื้นที่ป่าไม้ เพื่อนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการ T-VER ที่มีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือในระดับสากล"
รวมถึง องค์กรพันธมิตร และองค์กรสมาชิก TBCSD ได้ร่วมกันประกาศจุดยืนในการเป็นผู้นำของภาคธุรกิจไทยด้านความยั่งยืนที่ทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกและตอบโจทย์ทิศทางการพัฒนาของประเทศ เพื่อร่วมสร้างการเปลี่ยนผ่านภาคธุรกิจไทยไปสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนด้วยความร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งขององค์กรสมาชิก และการทำงานร่วมกันกับองค์กรพันธมิตร และเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ TBCSD พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการร่วมสร้างแรงขับเคลื่อนภาคธุรกิจไทย เพื่อสนับสนุนประเทศไทยให้ก้าวไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน “TBCSD Towards a Sustainable Future มุ่งสร้างแรงขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี