เปิดภาพประวัติศาสตร์ ในหลวงเสด็จเยือนอเมริกา2503

เปิดภาพประวัติศาสตร์ ในหลวงเสด็จเยือนอเมริกา2503

วันศุกร์ ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 14.27 น.

เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๐๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอทั้ง ๔ พระองค์ ได้เสด็จไปสหรัฐอเมริกาและยุโรปอีก ๑๔ ประเทศ ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินที่ยาวนานถึง ๖ เดือนเต็ม ทรงมีกระแสพระราชดำรัสอำลาประชาชนทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ตอนหนึ่งว่า

“การไปต่างประเทศคราวนี้ ก็เป็นราชการแผ่นดิน เป็นการทำหน้าที่ของข้าพเจ้าในฐานะเป็นประมุขของประเทศ เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ในสมัยนี้ประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่เสมอ จะว่าชนทุกชาติเป็นพี่น้องกันก็ว่าได้ จึงควรพยายามให้รู้จักนิสัยใจคอกัน ทั้งต้องผูกน้ำใจกันไว้ให้ดีด้วย การผูกน้ำใจกันไว้นั้น ธรรมดาญาติพี่น้องก็ไปเยี่ยมถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน แต่สำหรับประเทศนั้นประชาชนนับแสนล้าน จะไปเยี่ยมกันก็ยาก เขาจึงยกให้เป็นหน้าที่ของประมุข ในการไปเยี่ยมประเทศต่างๆ ข้าพเจ้าก็จะแสดงต่อประชาชนของประเทศเหล่านั้นว่า ประชาชนชาวไทยมีมิตรจิตมิตรใจต่อเขา และข้าพเจ้าจะพยายามเต็มที่ เพื่อให้ฝ่ายเขารู้จักเมืองไทย และให้เกิดมีน้ำใจดีต่อชาวไทย”

ทุกประเทศที่เสด็จพระราชดำเนินไปในครั้งนั้น ทรงได้รับการถวายการต้อนรับอย่างอบอุ่นยิ่ง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่พระเจ้าอยู่หัวประสูติ และทรงเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวของโลกที่ประสูติในอเมริกา ชาวอเมริกันได้ถวายการต้อนรับอย่างน่าประทับ

ในตอนค่ำของวันที่ ๑๘ มิถุนายน ได้เสด็จถึงนครลอสแอนเจลิส และในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ที่ทางสหรัฐถือว่าเสด็จเยี่ยมอย่างเป็นทางการ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จไปเยี่ยมฮอลลีวูด โดยเสด็จโรงถ่ายของบริษัทพาราเมาท์เป็นแห่งแรก มีผู้บริหารมารอรับกันพร้อมหน้า

หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ได้บันทึกในรูปแบบจดหมายถึงเพื่อนในเรื่องตามเสด็จครั้งนี้ไว้ว่า “...หลังจากนั้น เขาก็นำเสด็จเข้าไปในโรงถ่ายซึ่งกำลังทำหนังเรื่อง G.I.Blues ของ Hal Wallis อยู่ นายวัลลิสป่วยในวันนั้น จึงส่งผู้แทนชื่อ พอล เนทัน มารับเสด็จแทนตัว นายเนทันเป็นผู้นำพระเอกนางเอก คือ เอลวิส เพรสลี่ กับ จูเลียต เพราวส์ เข้ามาเฝ้า ดูเหมือนหญิงได้ยินนายเอลวิสทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า “Hello, Your Majesty. Sir” แล้วถวายคำนับตอนจับพระหัตถ์ ท่าทางเขาเรียบร้อยขี้อายผิดกว่าที่นึก หน้าตาหล่อกว่าในหนังด้วยซ้ำ ตาสีฟ้า หน้าเกลี้ยงเกลา ฟันเรียบยิ้มสวย เขาเพิ่งออกจากทหารมาใหม่ ๆ ผมสั้นอย่างหนุ่มอเมริกันธรรมดา ไม่ยาวน่าตกใจอย่างหนังบางเรื่อง เขาแต่งหน้าสำหรับถ่ายหนัง คือทาสีน้ำตาลคล้ำไปทั้งหน้า แต่อย่างอื่น เช่น ปากหรือคิ้วไมได้ทา คงปล่อยไว้ตามธรรมชาติ ส่วนจูเลียต เพราวส์นั้นก็เหมือนในหนัง...

...เมื่อตัวเอกของหนังเรื่องที่จะถ่ายเข้ามาเฝ้าถวายตัวแล้ว พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จก็ประทับลง เขาก็จัดการให้นายเอลวิสมานั่งข้างสมเด็จ แม่จูเลียตนั่งข้างพระเจ้าอยู่หัว แม่นั่นไม่รู้ขนบธรรมเนียมอะไร คงนั่งไขว่ห้างตามสบายของเจ้าหล่อน ช่างภาพต่าง ๆ ก็ถ่ายรูปถ่ายหนังเป็นการใหญ่ แล้วนายเอลวิสกับแม่จูเลียตก็ทูลลาขอตัวลุกขึ้นไปแสดงหนังถวาย...”

เมื่อทอดพระเนตรการถ่าย จี.ไอ. บลูส์ แล้ว ก็นำเสด็จไปดูการถ่ายหนังกลางแจ้ง ซึ่งกำลังถ่ายหนังคาวบอยโทรทัศน์เรื่อง “Have Gun Will Travel” ซึ่งหม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต บันทึกไว้ว่า “...เมื่อทรงพระดำเนินไปตามถนนเมืองคาวบอยนั้นสักครู่ ก็ทอดพระเนตรเห็นคาวบอยร่างใหญ่ สูงโย่ง มีหนวด คาดปืน มีลูกกระสุนเต็ม สวมหมวกปีกใหญ่สีดำ เดินส่ายอาดเข้ามาเฝ้า เมื่อแรกพอหญิงเห็นนายคนนั้นเข้า นึกในใจว่าพ่อนี่ต้องเป็นผู้ร้ายเด็ด ที่ไหนได้กลายเป็นพระเอกของเรื่องชื่อ นายริชาร์ด บูน ต่างหาก นายพระเอกสูงโย่งนี่ตลกดี เมื่อเข้าเฝ้าทั้งสองพระองค์เรียบร้อยแล้ว ก็ชักปืนถวายพระเจ้าอยู่หัว ยกมือ ๒ ข้างทำเป็นยอมแพ้ พวกช่างภาพต่าง ๆ ที่เดินตามเสด็จมาเป็นหมู่ร้องเอะอะว่า “ขออีกที ขออีกทีเถอะ” พระเจ้าอยู่หัวก็เลยทรงถือปืนจ้องนายริชาร์ด บูน ซึ่งทำท่ายอมแพ้ให้ช่างภาพถ่ายรูปตามใจชอบ วันรุ่งขึ้นกับวันต่อไป หนังสือพิมพ์ที่ได้อ่านทุกฉบับ เช่น ลอสแอนเจลิส ไทมส์ ฮอลลีวูดโสดิสแพ็ช นิวยอร์กเจอนัล นิวยอร์ก ไทมส์ เป็นต้น ลงรูปนายคาวบอยใหญ่ยกมือยอมแพ้พระเจ้าอยู่หัวเกรียวกราว สมเด็จทรงยืนทรงพระสรวลอยู่ใกล้ ๆ”

กระทรวงการต่างประเทศอเมริกันได้กำชับพวกฮอลลีวูดและหนังสือพิมพ์ไว้ ไม่ให้เอ่ยถึงหนังเรื่อง ‘The King and I’ เป็นอันขาด คงจะเห็นเป็นเรื่องแสลง แต่พระเจ้าอยู่หัวทรงทำให้เป็นเรื่องธรรมดาเสียเลย โดยตรัสกับเขาอย่างตรงไปตรงมา เมื่อทรงมีพระราชดำรัสตอบตอนเสวยพระกระยาหารที่สมาคมภาพยนตร์อเมริกันจัดถวาย ซึ่งหม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิตได้บันทึกไว้ว่า

“พระราชดำรัสในวันนั้นเป็นกันเอง ขำ ๆ ดี คนฟังชอบใจมาก หัวเราะกันก๊ากๆ แล้วตบมือถวายหลายครั้ง ความบางตอนถ้าหญิงจำไม่ผิดก็คล้าย ๆ งี้ “เรากำลังเดินอยู่บนเมฆ กระทบไหล่กับดารา เหล่าดาราส่องแสงไปทั่วโลก... (ตอนนี้พวกดาราที่นั่งอยู่ที่โต๊ะต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่) พวกคนไทยโดยมากเป็นนักดูหนังและติดตามความเป็นไปของดาราดวงที่ตนชอบอย่างสนใจที่สุด ข้าพเจ้าจำต้องรับสารภาพอย่างน่าเสียใจว่า แฟนหนังวัยรุ่นของเราบางคนสนใจเรื่องของดาราภาพยนตร์ที่ตนชอบ มากกว่าสนใจวิชาที่เรียนจากโรงเรียนเสียอีก...”

ตอนนี้ คนสำคัญของโลกภาพยนตร์ต่างหัวเราะชอบใจ ต่อไปพระเจ้าอยู่หัวก็ตรัสดีขึ้นไปอีก ตอนนี้ขอลอกพระราชดำรัสแท้ ๆ ถ้ามัวแปลเดี๋ยวเสียรสคำหมด “Now” ทรงมีพระดำรัสต่อไป “I would like to confide something and this is between the King and you. It’s about The King and I” ตอนนี้ฮาตึงเลยทีเดียว ทรงอธิบายให้เขาฟังว่า บริษัททเว้นตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ได้ทำหนังเรื่องนี้ให้เป็นหนังที่สนุก น่าดู สวยงาม เพลงไพเราะ แต่ไม่ถูกพงศาวดารนัก ถ้าออกฉายในเมืองไทยอาจทำให้เกิดผิดใจกันขึ้นระหว่างประเทศ เพราะคนไทยเคารพนับถือกษัตริย์ของเขามาก คงไม่ชอบที่จะเห็นกษัตริย์ของเขาพระองค์หนึ่ง แสดงเป็นตัวตลกอยู่ในหนังเรื่องนี้”

การถวายการต้อนรับที่เอิกเกริกมโหฬารยิ่ง ได้แก่เมื่อเสด็จนครนิวยอร์ก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประทับในรถพระที่นั่งนำขบวนไปตามถนนบรอดเวย์ ตามประเพณีต้อนรับประมุขต่างประเทศของชาวนิวยอร์ก ตลอดสองข้างทางมีประชาชนโบกมือโห่ร้องต้อนรับอย่างแน่นขนัดไปตลอดเส้นทาง หนังสือพิมพ์รายงานว่า มีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จถึง ๗ แสน ๕ หมื่นคน คนที่อยู่บนตึกระฟ้า ๒ ข้างทางได้โปรยลูกปาและกระดาษยาวที่เรียกว่า ‘ทิเกอร์เทป’ ลงมา บางแห่งหนาแน่นยิ่งกว่าหิมะตก หนังสือพิมพ์บางฉบับพาดหัวว่า ‘The King and Aye’ ซึ่ง Aye ออกเสียงคล้าย I แต่หมายถึงคะแนนเห็นด้วย”

รายการสำคัญอีกรายการหนึ่งของการเสด็จเยือนอเมริกา คือการเสด็จไปยังกรุงวอชิงตัน ในฐานะทรงเป็นแขกของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีไอเซนเฮาว์ คณะรัฐบาล คณะทูตานุทูต ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งไทยและอเมริกัน ตลอดจนนักเรียนไทย ไปคอยรับแน่นขนัดที่สนามบิน การรับเสด็จครั้งนี้ ทางราชการอเมริกาได้จัดเป็นพิธีเต็มยศและพิเศษ ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย จากสนามบินมีขบวนรถแห่ไปจนถึงบ้านพักแขกเมือง ชื่อ ‘แบลร์เฮาส์’ ประธานาธิบดีไปเซนเฮาว์ได้นั่งรถพระที่นั่งมาส่งเสด็จถึงที่ประทับ

นี่ก็เป็นพระราชกรณียกิจสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง นำมารำลึกถึงด้วยความสุขกันอีกครั้ง ในเดือนที่เป็นมงคลยิ่งนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top