กรมสมเด็จพระเทพฯ เสด็จเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา : ปวงชนเพื่อการศึกษา พร้อมพระราชทานปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ 4 ทศวรรษ การทรงงานด้านการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส”
วันที่ 10 กรกฎาคม 2563 เวลา 09.04 น. ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา : ปวงชนเพื่อการศึกษา โดยมีนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศธ. นายประเสริฐ บุญเรือง ปลัดกณะทรวงศึกษาธิการ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการบริหาร กสศ. นายกฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการการจัดประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา: ปวงชนเพื่อการศึกษา และนายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการ กสศ. ภาคีร่วมจัด เฝ้ารับเสด็จ
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ พระราชดำเนินไปยังห้องประชุม ประทับพระราชอาสน์ (บนเวที่) นายประสาร โตรัตนรกุล ประธานกรรมการบริหากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กราบบังคมทูลถวายรายงานกิจการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และวัตถุประสงค์ของการประชุมนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กราบบังคมทูลถวายรายงานเกี่ยวกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการทางด้านความเสมอภาคทางการศึกษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ๆ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัสเปิดการประชุม
ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สี่ทศวรรษ การทรงงานด้านการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส”
โดยมีพระราชดำรัสอธิบายถึง แนวคิดเรื่องความเสมอภาคทางการศึกษา ว่า ฝังรากหยั่งลึกอยู่ในสังคมไทยมานานร่วมกว่า 100 ปีแล้ว นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีพระราชดำริ ต้องการให้ราษฎรทุกคน มีความรู้ สามารถอ่านออกเขียนได้ ทำให้ประเทศไทยมีโรงเรียนและสถาบันการศึกษาสำหรับประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสเล่าเรียน กระทั่งในที่สุด ก็ได้มีการบัญญัติกฎหมายออกมาเป็นการศึกษาภาคบังคับ ก่อตั้งกระทรวงศึกษาธิการขึ้นมาดูแล
สำหรับในส่วนของพระองค์ก็คือการสืบทอดสานต่อพระราชปณิธานจากพระมหากษัตริย์ในรัชกาลก่อน และจากสมเด็จย่า พระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ที่ได้ทรงริเริ่มดำเนินการโครงการในพระราชดำริต่างๆทางการศึกษา โดยมีเป้าหมายสูงสุด เพื่อให้ประชาชนบนแผ่นดินไทยทุกคน ได้มีความรู้ความสามารถในการประกอบกิจการงานอาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต หาเลี้ยงครอบครัวและพึ่งพาตนเองต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีบทบบัญญัติทางกฎหมายกำหนดให้เด็กไทยทุกคนได้เรียนหนังสือ แต่ก็ยังมีเด็กอีกจำนวนมากที่ไม่มีโอกาสได้ไปโรงเรียน เนื่องด้วยข้อจำกัดทางครอบครัว หรือ ข้อจำกัดทางสภาพร่างกายของตนเอง ส่งผลให้พระองค์ เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของไทย เพื่อให้ขยายครอบคลุมเข้าถึงทุกกลุ่มได้มากขึ้น ให้การศึกษาเข้าใกล้ความเสมอภาคเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ได้ทรงงานด้านการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนไทย ทรงเริ่มต้นจากสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้ทรงดำเนินการไว้ ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ โรงเรียนกินนอนประจำในพระบรมราชูปถัมภ์ และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งในตอนแรกสุดนั้น ก็เพื่อให้การอบรมสั่งสอน บรรดาเด็กๆ ในพื้นที่ชนบทห่างไกล และถิ่นทุรกันดาร ได้มีวิชาความรู้ติดตัว
แน่นอนว่า นอกจากการเรียนการสอนด้านวิชาการพื้นฐาน เพื่อให้เด็กเหล่านี้อ่านออกเขียนได้แล้ว ยังทรงมีพระราชดำริในการวางแนวทางให้เด็กเหล่านี้ได้มีวิชาชีพความรู้ติดตัว ดังนั้น การเรียนการสอน จึงครอบคลุมถึงวิชาการเกษตร การจัดทำบัญชี การบริหารสหกรณ์ การค้าขาย ไปจนถึง การตัดผม ช่างเครื่อง ช่างซ่อม อีกทั้ง ยังใช้โรงเรียนเป็นแหล่งให้ความรู้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตที่ดี เช่น การอนามัยและสุขศึกษา
นอกเหนือจากเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาสแล้ว ทรงมองเห็นว่า เด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่มักถูกละเลยก็คือเด็กพิการและทุพพลภาพ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย หรือ ทางจิตใจ ที่มักโดยมองว่า เป็นผู้ไร้ประโยชน์ แต่ในความเห็นของพระองค์ กลับมองเห็นว่า การศึกษาจะกลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เด็กผู้พิการเหล่านี้้ เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของสังคม ดังนั้น จึงทรงก่อตั้งโรงเรียนพิเศษสำหรับผู้พิการโดยเฉพาะขึ้น เพื่อให้ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนได้อย่างเหมาะสมตามศักยภาพและกายภาพของตนเอง โดยมีให้เลือกเรียนในสายสามัญ และสายวีชาชีพ พร้อมจัดหาทุนการศึกษา และแนะแนวทางการประกอบวิชาชีพในอนาคต
ขณะเดียวกัน ก็ทรงสืบสานโรงเรียนพระดาบส และโรงเรียนลูกพระดาบส ในการรับเด็กโตอายุระหว่าง 15-25 ปี ความประพฤติดี ขยันหมั่นเพียร และมีความตั้งใจ เข้ารับการฝึกอบรมทักษะวิชาช่างแขนงต่างๆ ให้เข้ารับการฝึกอบรมจากผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครูหรือผู้ชำนาญการในวัยเกษียณที่อาสามาสอนให้ความรู้บ่มเพาะให้เด็กกลุ่มนี้ ที่แทบทั้งหมดมีอุปสรรคติดขัดไม่สามารถเรียนหนังสือตามหลักสูตรทั่วไปได้ ทำให้พวกเขาได้มีวิชาความรู้ติดตัวหาเลี้ยงชีพ และสามารถต่อยอดไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในระดับที่สูงต่อไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาระดับสูงในสายอาชีวะศึกษา ซึ่งมีความหลากหลายให้เลือก และเปิดรับบุคคลได้ค่อนข้างกว้างกว่า ด้วยเงื่อนไขที่ไม่ซับซ้อน โดยหมายรวมถึง บุคคลไร้สัญชาติ และกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มแรงงานอพยพ หรือแรงงานต่างด้าว
นอกจากนี้ ก็ไม่ทรงละเลย กลุ่มสามเณรที่บวชเรียน โดยได้ทรงก่อตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม ให้สามเณรเหล่านี้ได้เรียนหนังสือตามหลักสูตรการศึกษาทั่วไป เพื่อเป็นทางเลือกหลังต้องสึกจากสมณะเพศออกมา จะได้มีวุฒิความรู้การศึกษาติดตัว มีทางเลือกต่อยอดไปทางอื่นๆ ต่อไปได้
ในส่วนของกลุ่มผู้ต้องขัง ก็ต้องให้ความใส่ใจเช่นกัน โดยทรงจัดทำห้องสมุดในเรือนจำ และจัดทำกิจกรรมเสริมทักษะวิชาชีพแก่ผู้ต้องขัง เพื่อให้ผู้ที่พลาดพลั้งเหล่านี้ ได้มีโอกาสใหม่ในการเริ่มต้นชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมหลังพ้นโทษ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมไทยโดยรวมต่อไป
ขณะที่กลุ่มเด็กหญิง เด็กจากผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์ หรือเด็กไร้สัญชาติ ก็ได้รับความช่วยเหลือในด้านการศึกษาเช่นกันภายใต้โครงการของพระองค์ อีกทั้งยังมีบรรดาเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ที่ทรงให้ความสำคัญ เนื่องจากทรงเล็งเห็นว่า การปลูกฝังบ่มเพาะทางการศึกษา ควรเริ่มทำตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ทรงก่อตั้ง สถานดูแลเด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลไว้ตามเครือข่ายโรงเรียนในโครงการส่วนพระองค์
ในความเห็นส่วนพระองค์ All for Education ก็คือการศึกษา สำหรับคนทุกกลุ่ม ทุกชนชั้นเชื้อชาติอย่างแท้จริง ที่คนทุกคนต้องได้เรียนหนังสือสอดคล้องเหมาะสมตามกำลังศักยภาพและความสามารถของผู้เรียน อีกทั้ง โรงเรียนและสถาบันการศึกษาที่ทรงก่อตั้งขึ้นไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ประสิทธิประศาสตร์วิชา แต่เป็นสถานที่ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ให้มีทักษะและภูมิปัญญา ดังนั้น โรงเรียนของพระองค์ จึงสอดแทรกการสอนเรื่องของสุขอนามัย การล้างมือ การทำความสะอาดร่างกาย การดูแลฟัน การดูแลโภชนาการ การจัดทำอาหารกลางวัน การสอนปลูกผักเลี้ยงสัตว์เพื่อนำไปประกอบอาหาร และผลิตผลที่เหลือก็นำไปขายหารายได้จุนเจือตนเองและโรงเรียนให้สามารถดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ทำให้เกิดอุปสรรคและความท้าทายต่างๆ มากมาย หนึ่งในนั้นก็คือการหาแนวทางให้การเรียนการสอนยังคงดำเนินต่อไปได้ ซึ่งในการทำงานของพระองค์ ทรงได้จัดหาเงินทุนเป็นค่าใช้จ่ายให้บรรดาครูอาจารย์สามารถเดินทางไปเยี่ยมเยียนลูกศิษย์ติดตามความก้าวหน้า ทรงจัดหาโทรทัศน์ เพื่อให้รับสัญญาณถ่ายทอดบทเรียนต่างๆ จัดหายานพาหนะ และจัดหาอุปกรณ์ อาหารและวัตถุดิบเพื่อการดำรงชีพ รวมถึงการจัดถุงยังชีพที่บรรจุไปด้วยเมล็ดพันธุ์และหนังสือคู่มือการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์และการปฎฺิบัติตัวเพื่อป้องกัน COVID-19 ซึ่งทั้งหมดมีเป้าหมายเพื่อให้เด็กและครอบครัวดำรงชีวิตต่อไปได้ภายใต้สภาวะที่ยากลำบาก ขณะเดียวกัน ก็ยังตระหนักและเห็นความสำคัญของการศึกษา การเป็นผู้มีวิชาความรู้ติดตัว
โครงการการศึกษาและก่อตั้งโรงเรียนทั้งหมดเหล่านี้ ทรงได้รับความร่วมมือช่วยเหลืออย่างดีจากหลายหน่วยงาน ทั้งทางภาครัฐและเอกชน รวมถึงองค์กรอิสระทั้งหลาย
ทั้งนี้ พระองค์ปิดท้ายปาฐกถาพิเศษด้วยการพระราชทานคำมั่นที่จะทรงงานภายใต้เป้าหมาย การศึกษาเพื่อปวงชน และปวงชนเพื่อการศึกษา ก่อนเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันมาร่วมมือร่วมใจสร้างโลกที่อ่านออกเขียนได้ (Let's join in making a literate world) ตามปณิธานที่ทรงตั้งไว้เมื่อปี 2542 "ในปี 1999 ข้าพเจ้าได้เขียนคติพจน์ "มาร่วมกันสร้างโลกที่อ่านออกเขียนได้" ขึ้น เป็นคติพจน์ที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นเมื่อครั้งทำงานกับทีมคณะทำงานจอมเทียน เป็นสิ่งที่พวกเขาพูดถึง ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ทำงานร่วมกับทาง UNESCO และรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ และข้าพเจ้าก็ได้เขียนข้อความนี้ "มาร่วมกันสร้างโลกที่อ่านออกเขียนได้" ขึ้น ข้าพเจ้าจะยังคงยึดมั่นในอุดมคดิดังกล่าว รวมถึงอุดมคติของการศึกษาเพื่อปวงชน และปวงชนเพื่อการศึกษา"
จากนั้น ทรงฟังการอภิปรายพิเศษ โดย ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการบริหาร กสศ. , นายอมาตยา เซน อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) และผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ พ.ศ.2541 , นางอลิส ออร์ไบร์ท ผู้อำนวยการ Education Cannot Wait , นางยาสมิน เชอรีฟ ผู้จัดการ Global Partnership for Education (GPE) ในหัวข้อ “ความหมายของความเสมอภาคทางการศึกษาภายใต้การแพร่ระบาดของโควิด-19” (Equitable Education : What does it mean in the Changing World amidst COVID19 Pandemic? )
พร้อมกันนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการเสมือนจริงด้วย
ด้าน นายอมาตยา เซน กล่าวว่า ดีใจเเละขอบคุณที่ได้มาร่วมงานประชุมครั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกคนต้องมีความมุ่งมั่นที่จะให้เกิดการศึกษาที่เท่าเทียม การศึกษามีความสำคัญมากเพราะทำให้เกิดสิ่งดีๆ ให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อทุกคนมีการศึกษา จะนำไปสู่การพัฒนาสังคม เศรษฐกิจเเละการเมือง ทั้งนี้การศึกษายังนำไปสู่มั่นคง ทำให้มีความอยากรู้อยากเรียนเเบะนำไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าจากสถานการณ์การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ประเทศที่มีการศึกษาสูง จะสามารถรับมือเเละเเก้ปัญหาต่อโรคนี้ได้ดี ถึงเเม้จะเป็นโรคใหม่ก็ตาม ทำให้มีผู้ติดเชื้อน้อย อย่างประเทศไทย ขณะที่ประเทศอินเดีย มีผู้ป่วยมากที่สุดอันดับต้น ๆของโลก
ขณะที่ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ กสศ. กล่าวว่า การทรงงานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตลอด 40 ปีที่ผ่านมาในการยกระดับพัฒนาการศึกษาและคุณภาพชีวิตของเด็กด้อยโอกาสในสังคม นับเป็นแบบอย่างที่ควรให้เราดำเนินรอยตาม ความมุ่งมั่นและทุ่มเทของพระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้เราเดินหน้าทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเสมอภาคทางการศึกษาต่อไป
โดยการจัดงานครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ธนาคารโลก (World Bank) Global Partnership for Education และ Save the children UNESCO และภาคีเครือข่ายร่วมกันจัดขึ้นในรูปแบบการประชุมวิชาการออนไลน์เป็นครั้งแรกของโลก โดยมีนักปฏิรูป นักเศรษฐศาสตร์ ผู้นำด้านการศึกษากว่า 60 คน จาก 14 ประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และระดมสมองหาทางออกการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในวิกฤตโควิด-19 ผ่านช่องทางออนไลน์ Zoom โดยมีผู้สสใจลงทะเบียนเข้าร่วมประชุมมากกว่า 1,000 คน จาก 70 ประเทศ
ดร.ประสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาด้านการศึกษามีขอบเขตปัญหาที่กว้างขวางและซับซ้อน ไม่ว่าจะประเทศร่ำรวยหรือยากจน ก็ล้วนมีปัญหาด้านคุณภาพการศึกษา ภาวะทุพโภชนาการ ความรุนแรงภายในครอบครัว และการข่มขู่รังแกในโรงเรียนไม่ต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นการระบาดของ COVID-19 แสดงให้เห็นว่าระบบการศึกษาขณะนี้ขาดความพร้อมในการรับมือกับภาวะชะงักงันที่เกิดขึ้น จนส่งผลให้เด็กด้อยโอกาสทั้งหลายกลายเป็นกลุ่มที่อ่อนแอ และเสี่ยงต่อการถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
โดยการประชุมครั้งนี้จะเป็นเสมือนเข็มทิศในการนำทางให้พวกเราไปสู่หนทางที่ควรจะไป ควรจะทำ และกระตุ้นเตือนให้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ดังนั้น การที่พวกเรามารวมตัวกัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะรับมือและจัดการกับปัญหา ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แนวคิด มุมมองและความเชี่ยวชาญ เพื่อที่เราจะสามารถเร่งดำเนินการให้เกิดความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายทางการศึกษาเพื่อทุกคน
ทั้งนี้ การประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาที่จัดขึ้นในปี 2020 ถือเป็นปีสำคัญสำหรับวาระความเสมอภาคทางการศึกษา ในโอกาสครบรอบ 30 ปี “ปฏิญญาสากลว่าด้วยการศึกษาเพื่อปวงชน” ที่ผู้นำทางการศึกษาทั่วโลกได้มารวมตัวกันที่ประเทศไทย เพื่อร่วมกันแสดงเจตนารมณ์แก่ประชาคมโลกว่าเด็กเยาวชนทุกคน ไม่ว่าจะเกิดมายากดีมีจน ต้องได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเสมอภาคโดยทั่วกัน ซึ่งข้อมูลจากสถาบันสถิติแห่งองค์การยูเนสโก (UIS) แสดงให้เห็นว่ายังมีเด็กเยาวชนมากกว่า 263 ล้านคนทั่วโลกที่อยู่นอกระบบการศึกษา ในจำนวนนี้เป็นเด็กวัยประถมศึกษามากกว่า 60 ล้านคน โดยเด็กจากครอบครัวที่ยากจนที่สุด มีโอกาสหลุดออกจากระบบมากกว่าเด็กจากครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดถึง 5 เท่า ยิ่งมาเจอผลกระทบโควิด-19 ซ้ำเติม ทั่วโลกประเมินว่าความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่องค์การยูเนสโกและองค์การยูนิเซฟประเมินว่าวิกฤตนี้จะทำให้เด็กเยาวชนมากกว่า 90% ทั่วโลกต้องออกจากระบบการศึกษาชั่วคราว และมีเด็กหลายล้านคนเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา ส่วนประเทศไทยพบตัวเลขผู้ยากจนด้อยโอกาส 4.3 ล้านคน เป็นนักเรียนยากจน 1.8 - 2 ล้านคน มีเด็กที่หลุดออกนอกระบบการศึกษา 5 - 6 แสนคน
ทั้งนี้ การประชุมที่จัดขึ้นเปิดโอกาสให้บุคลากรทางการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ภาคนโยบายระดับชาติ ท้องถิ่น ผู้บริหารสถานศึกษา ครู หน่วยงานรัฐ ประชาสังคม ตลอดจนภาคธุรกิจเอกชน รวมถึงผู้สนใจงานทางด้านการศึกษา เพื่อร่วมงานและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
โดยข้อสรุปที่ได้จากเวทีครั้งนี้ จะนำไปเสนอที่ประชุมรัฐมนตรีศึกษาธิการของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2564 เพื่อนำแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังร่วมกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาทางการศึกษาที่ยั่งยืนในอีก 10 ปีข้างหน้า