“สมเด็จพระสังฆราช”ประทานพระวโรกาสให้นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมคณะผู้บริหาร เฝ้าถวายปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
วันที่ 27 มิถุนายน 2565 เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จลงพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ประทานพระวโรกาสให้นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เฝ้าถวายปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ซึ่งสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมครั้งที่ ๘๕๒ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ ขอประทานถวาย
โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระสัมโมทนียกถา ความตอนหนึ่งว่า
“พระสงฆ์ทั้งหลายซึ่งเป็นสาวกของสมเด็จพระบรมครู ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่เผยแผ่พระสัทธรรม หน้าที่นี้เองทำให้พระสงฆ์ทั้งหลาย มีหน้าที่เป็น ‘ครู’ อยู่ด้วย ไม่อาจจะแยกหน้าที่ของพระสงฆ์กับหน้าที่ของครูจากกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเมืองไทยของเรานี้ หน้าที่ของพระสงฆ์หาใช่จะมีแต่หน้าที่ ในการสั่งสอนเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาเท่านั้น หากแต่ยังมีหน้าที่เป็นครูสอน ให้ความรู้ในวิชาต่าง ๆ แก่ประชาชน ดังเช่นในโบราณกาล กุลบุตรย่อมมีโอกาสได้รับการศึกษาอักขรสมัยและสรรพวิทยาในวัด โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้สอน แม้โรงเรียนในยุคเริ่มแรกแห่งการจัดตั้งโรงเรียนแบบสากลในสยาม ก็มักมีที่ตั้งเริ่มแรกในพระอารามต่าง ๆ โดยที่สุด แม้แต่การอุปสมบทในพระพุทธศาสนาอันนับว่าเป็นเขตขั้นการศึกษาอย่างสูงของชายไทย ยังเรียกว่า ‘การบวชเรียน’ ความในข้อนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า พระสงฆ์มีหน้าที่เป็นครูผู้ให้การศึกษา และวัดเป็นสถานที่แห่งการศึกษาตลอดมา
การที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยกย่องอาตมภาพในคราวนี้ อาตมภาพจึงไม่อาจรับไว้เป็นเกียรติคุณเฉพาะตน แต่จะขอรับไว้เป็นเกียรติคุณแห่งคณะสงฆ์ทั้งปวง ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นครูผู้ให้การศึกษามาแต่โบราณกาล ยังคงปฏิบัติอยู่ตราบปัจจุบัน และจะปฏิบัติต่อไปในอนาคตกาล
เมื่อท่านทั้งหลายและคณะมหาวิทยาลัย ได้พร้อมกันเห็นว่าอาตมภาพเป็นผู้สมควรแก่ปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ อันมีเกียรติในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว ฉะนั้นแต่นี้ไป ขอจงจำอาตมภาพไว้ว่าเป็นภราดาผู้หนึ่ง ผู้หมายใจที่จะเห็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีเกียรติคุณรุ่งเรือง เป็นหลักเฉลิมพระนครสืบไป”