“วิทยาศาสตร์เป็นส่วนประคับประคองประเทศในระหว่างที่ประเทศเดือดร้อน ศิลปะก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผสมผสานกันสองสาขา เพื่อนำมาสู่การช่วยเหลือราษฎรในยามที่ประชาชนลำบาก” -พระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี หลังจากทรงได้รับการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระสมัญญา “สิริศิลปิน”
สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒนวรขัตติยราชนารี ทรงเป็นเจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์ผู้มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล ทรงเสียสละ อุทิศพระองค์ในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย อย่างมุ่งมั่น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและประโยชน์สุขของประชาชนมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนเป็นที่ประจักษ์และยอมรับจากประชาคมโลก จึงทรงได้รับการยกย่อง สดุดี และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลเกียรติคุณจากมหาวิทยาลัย องค์กรระหว่างประเทศ และสถาบันที่มีชื่อเสียงทั่วโลก
นอกจากพระปรีชาสามารถในฐานะเจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์แล้ว ยังทรงมีพระปรีชาสามารถเป็นเลิศในงานศิลปะร่วมสมัยหลากหลายสาขา ทั้งทัศนศิลป์ ดนตรี วรรณศิลป์ และการออกแบบสร้างสรรค์ ล้วนโดดเด่นเป็นที่ยอมรับและยกย่องในวงการศิลปะร่วมสมัย ทรงสร้างสรรค์งานศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะพระองค์ ทรงมีพระวิสัยทัศน์ในการนําแรงบันดาลพระทัยมาทรงปรับใช้ได้อย่างประณีต งดงาม ทรงสอดแทรกประยุกต์องค์ความรู้จากศาสตร์ต่างๆ ที่ได้ทรงศึกษา เช่น วิทยาศาสตร์ พฤกษศาสตร์ กีฏวิทยา รวมทั้งสิ่งที่ทรงโปรดปราน มาทรงสร้างสรรค์งานศิลปะอย่างวิจิตรบรรจง กอปรกับมีพระทัยมุ่งมั่นและพระวิริยอุตสาหะในการทรงงานด้านศิลปะ ส่งผลให้งานศิลปะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนนานาประการเฉกเช่นเดียวกับผลงานด้านวิทยาศาสตร์ ทรงเป็นแบบอย่างและทรงเป็นแรงบันดาลใจแก่ศิลปินร่วมสมัย ทั้งความวิริยะและความอุตสาหะ
หลายทศวรรษของการทรงงาน ยามเมื่อทรงว่างเว้นจากพระกรณียกิจนานัปการ ทรงกลับมาทบทวนถึงการดำเนินชีวิตที่ผ่านมา และค้นพบว่ายังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ทรงรักและมีความสุขทุกครั้งเมื่อคิดถึงหรือมีโอกาสได้ทำ คือ “การทำงานศิลปะ” ซึ่งเปรียบเสมือนการบำบัดพระทัยให้มีความสุขและผ่อนคลาย หลังจากเสร็จสิ้นจากพระภารกิจที่เกี่ยวพันกับชีวิตและความทุกข์ของผู้อื่นตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา
จุดเริ่มต้นของความรักและความสุขจากการที่ได้ทรงงานศิลปะ เริ่มขึ้นจากการที่ทรงวาดภาพธรรมชาติ และดอกไม้นานาพันธุ์ที่อยู่รายรอบ เช่น ภาพดอกบัว ดอกกุหลาบ และผีเสื้อ จากนั้นทรงส่งต่อความสุข โดยการนำลวดลายต่างๆ ที่ได้จากภาพวาดไปผลิตเป็นผ้าพันคอ และเสื้อคอโปโล ฯลฯ เพื่อหารายได้ช่วยเหลือแก่ผู้ยากไร้ด้อยโอกาส และด้วยพระปรีชาสามารถในด้านศิลปะ ทรงได้รับเชิญจาก บริษัท แอสปรี ลอนดอนสหราชอาณาจักร ให้ทรงร่วมออกแบบเครื่องประดับอัญมณีและเครื่องแต่งกาย โดยมีแนวคิดการสร้างสรรค์ผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะพระองค์ บูรณาการศาสตร์หลายแขนงเข้าไปในชิ้นงาน โดยใช้ลวดลายสูตรเคมีคณิตศาสตร์ สัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งทรงมีกิจกรรมวาดภาพที่ทรงโปรดและทรงมีพระสมาธิในการวาดภาพติดต่อกันหลายชั่วโมง เป็นเหตุให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ทรงสังเกตเห็นและได้กราบบังคมทูลว่า “น่าจะได้ทรงเรียนเขียนลายไทยด้วย” เพื่อทรงนำลายไทยและความเป็นไทยแต่งแต้มจัดวางไว้ในภาพวาดฝีพระหัตถ์และเครื่องประดับที่ทรงออกแบบ จากนั้นจึงทรงเริ่มเรียนการวาดลายเส้นจิตรกรรมไทย โดย คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ขอพระราชทานพระอนุญาตให้ นายปัญญา วิจินธนสาร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) เป็นพระอาจารย์ถวายการสอน และจากการทรงเรียนวาดลายเส้นจิตรกรรมไทยในครั้งนั้นได้เป็นแรงบันดาลพระทัยให้ทรงอยากจะศึกษาการวาดภาพอย่างจริงจัง จึงทรงมีพระประสงค์ที่จะทรงศึกษาตามระบบของมหาวิทยาลัยศิลปากร ในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ เช่นเดียวกับนักศึกษาทั่วไป ทรงสมัครเรียนแบบออนไลน์ และกรอกเอกสารการสมัครเรียน พร้อมกับแนบ Portfolio ผลงานภาพวาดฝีพระหัตถ์รูปเสือ เสนอคณะกรรมการหลักสูตรพิจารณาเช่นเดียวกับนักศึกษาทั่วไป ทรงมีพระนามปรากฏอยู่ในทะเบียนรายชื่อนักศึกษา ปีการศึกษา 1/2560 เลขที่ 1 รหัสประจำตัว 60007806 ร่วมกับพระสหายร่วมรุ่น 5 คน ในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์
ตลอดระยะเวลา 3 ปี ระหว่างทรงศึกษา ทรงปฏิบัติพระองค์เฉกเช่นนักศึกษาปกติทั่วไป พระวิริยอุตสาหะ ผนวกกับความมุ่งมั่นต่อการเรียน ทรงไม่ย่อท้อ แม้จะมีพระภารกิจมากมายนานัปการ รวมไปถึงอุปสรรคต่างๆ และพระสุขภาพของพระองค์เอง ก็ยังทรงเขียนรูปตลอดเวลา ระหว่างการเรียนการสอนทั้งที่คณะจิตรกรรมฯ และพระตำหนักฯ ทรงนำผลงานจำนวนมากมาให้คณาจารย์ผู้ถวายการสอนได้แนะนำและวิจารณ์ทุกครั้ง และด้วยความตั้งพระทัยกอปรกับพระวิริยอุตสาหะนี้เอง จึงเป็นสิ่งที่คณาจารย์ผู้ถวายการสอนมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
ด้วยพระประสงค์ที่จะทรงศึกษาตามหลักสูตรสาขาวิชาทัศนศิลป์ฯ ซึ่งหลักสูตรนี้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็น “ศิลปินมืออาชีพ” โดยผู้เรียนต้องพัฒนาทักษะจากการลงมือปฏิบัติ ซึ่งพระองค์จะต้องทรงนำเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์ด้วยพระองค์เองและด้วยกฎของการทำวิทยานิพนธ์ด้วยการจัดนิทรรศการเพื่อเผยแพร่แก่สาธารณชน 2 ครั้ง ซึ่งทรงดำเนินการทุกอย่างตามกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย โดยทรงนำเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์ครั้งแรกในชุด “หลากลาย หลายชีวิต” (Various Pattern; Diversity of Life) เมื่อเดือนมีนาคม พุทธศักราช 2561 ณ หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และในครั้งที่ 2 โปรดให้จัดนิทรรศการวิทยานิพนธ์ เพื่อการสอบจบภาคการศึกษา ณ หอศิลป์พิมานทิพย์ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเดือนมกราคม พุทธศักราช 2563 โดยการสอบป้องกันดุษฎีนิพนธ์ครั้งสุดท้ายเพื่อจบการศึกษานี้เป็นการสอบปากเปล่าประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งมีคณะกรรมการสอบ ได้แก่ ประธานหลักสูตร อาจารย์ที่ปรึกษา กรรมการประจำหลักสูตรเป็นผู้สอบ หลังจากเสร็จสิ้น คณะกรรมการสอบได้ลงมติให้การสอบครั้งนี้ “ผ่าน” เป็นเอกฉันท์ในคะแนนระดับ “ดีมาก”
สำหรับนิทรรศการวิทยานิพนธ์ ภาพวาดฝีพระหัตถ์ ชุด “หลากลาย หลายชีวิต” เป็นผลงานภาพวาดที่สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางอัตลักษณ์ หลากหลายทฤษฎี หลากหลายกลวิธีของมนุษย์ที่สามารถอยู่รวมด้วยกันได้ ทรงใช้สัญลักษณ์สื่อความหมายการแสดงออกจากสิ่งที่ทรงมีความประทับใจ นั่นคือ “เจ้าป่า” อันสื่อความหมายถึง “พระราชบิดา” พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยแสดงแนวความคิดเกี่ยวกับเสือเจ้าป่า ผู้เปรียบเสมือนราชา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ผ่านการสร้างสรรค์ที่ทรงถ่ายทอดผ่านปลายปากกา เป็นรูปลักษณ์ของเสือท่ามกลางบริบทแวดล้อมที่แตกต่างกัน ตามเรื่องราวและเนื้อหาในแต่ละภาพ เป็นเสือที่ใจดี มีเมตตา เพียรสอนสั่งและกระทำสิ่งดีงามต่อผู้อื่น เป็นเสือที่มีแต่ความรักและความปรารถนาดีต่อทุกคน
นอกจากนั้น ผลงานภาพวาดฝีพระหัตถ์นี้ยังใช้เทคนิควิธีการสร้างสรรค์งานด้วยสีวิทยาศาสตร์สำเร็จรูป เป็นสีเมจิกหลายสีชนิดหัวแหลม เป็นสีน้ำที่ไม่มีพิษ ไม่มีกลิ่น และไม่ทำลายสภาพแวดล้อม นั่นคือ สีโคปิค (Copic) นับเป็นพระองค์แรก และครั้งแรกในการศึกษาระดับปริญญาเอกที่ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานจาก “สีโคปิค” ส่วนรูปแบบการแสดงออกทางศิลปะในผลงานชุดนี้ ทรงบูรณาการศาสตร์แขนงต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการแพทย์และการแพทย์ ฯลฯ โดยทรงนำลวดลายสัญลักษณ์สูตร เคมี รูปทรงโมเลกุล การประกอบของตัวพันธะเคมีในโมเลกุล ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น ตัวเลข รูปหัวใจ ดอกไม้ และทิวทัศน์ธรรมชาติเข้ามาอยู่ในผลงาน รวมถึง“นกฮูก” และ “สัตว์ปีกต่างๆ” ร่วมถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ผ่านรูปทรง ความหมาย เรื่องราวและความเป็นตัวตนของสรรพสิ่งในบริบทรอบข้างทรงส่งต่อความฝันและความรู้สึกนั้นๆ ไปยังประชาชนชาวไทย รวมไปถึงผู้คนบนโลกนี้ด้วย ซึ่งเรียกงานศิลปะลักษณะนี้ว่า “ศิลปะนาอีฟ” หรือศิลปะที่ซื่อตรงและบริสุทธิ์ ดังพระราชดำรัสเกี่ยวกับงานศิลปะตอนหนึ่งว่า…“งานศิลปะทำให้ข้าพเจ้ามีความสุข ข้าพเจ้าจึงอยากแบ่งปันความสุขให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย”
เนื่องในโอกาสอันเป็นศุภมงคลที่ทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และทรงเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี โปรดให้จัดทำภาพพิมพ์จากภาพวาดฝีพระหัตถ์ออกจำหน่าย พร้อมทั้งนำลวดลายจากภาพมาต่อยอดจัดทำเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด เพื่อหารายได้นำไปช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาสรวมถึงประชาชนที่ทุกข์ยากจากความเจ็บป่วยและประสบภัยพิบัติต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ผ่านการดำเนินงานจากมูลนิธิในพระดำริ ได้แก่ มูลนิธิจุฬาภรณ์ มูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ และมูลนิธิทิพย์พิมานเพื่อสัตว์ป่วยและสัตว์ไร้ที่พึ่ง ในพระอุปถัมภ์ฯ
สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเป็นตัวอย่างการใช้เวลาที่ดีที่เป็นประโยชน์แก่พสกนิกรชาวไทย และทรงเป็นแบบอย่างให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ในเรื่องของการจัดสรรเวลา ทรงจัดสรรเวลาทำในสิ่งที่ทรงรักและมีความสุขได้ลงตัว เช่น การวาดภาพที่โปรด และการสานต่อความฝันของพระองค์ด้วยการศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกทางด้านศิลปะ และทรงสําเร็จการศึกษาหลักสูตรปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ในปี 2563
ด้วยพระอัจฉริยภาพเชิงสร้างสรรค์ด้านศิลปะอย่างแท้จริง กระทรวงวัฒนธรรม โดย คณะกรรมการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย จึงมีมติถวายพระสมัญญา “สิริศิลปิน” มีความหมายว่า “ศิลปินผู้ทรงสร้างสรรค์งานศิลปะงดงามหลากหลายแขนง อันเป็นศรี เป็นมิ่งขวัญ และเป็นมงคลยิ่ง” ด้วยประจักษ์ถึงพระปรีชาสามารถที่เป็นเลิศในการสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัยหลากหลายสาขา ทั้งงานทัศนศิลป์ วรรณศิลป์ ดนตรี และงานออกแบบสร้างสรรค์ ทรงใช้มิติของศิลปะเป็นสื่อในการส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และนําไปต่อยอดหารายได้
สมทบทุนมูลนิธิในพระดําริ เช่น มูลนิธิจุฬาภรณ์ มูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ และมูลนิธิทิพย์พิมานเพื่อสัตว์ป่วยและสัตว์ไร้ที่พึ่ง ในพระอุปถัมภ์ฯ พสกนิกรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ และสํานึกในพระกรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 รับทราบการถวายพระสมัญญา “สิริศิลปิน” แด่ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีกรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เพื่อน้อมสํานึกในพระกรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อวงการศิลปะร่วมสมัยและเผยแพร่พระเกียรติคุณให้ปรากฏสืบไป
เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ 4 กรกฎาคม พุทธศักราช 2565 ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเกษมสำราญ ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดกาลนาน เทอญ