พระราชพิธียิ่งใหญ่สมพระเกียรติ
บรมราชาภิเษก
สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่3
ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์
พสกนิกรปักหลักค้างคืน
เฝ้าฯรับเสด็จเนืองแน่น
ทั่วโลกชื่นชมพระบารมี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี เสด็จฯทรงร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 กษัตริย์พระองค์ใหม่แห่ง
สหราชอาณาจักร โดยมีการถ่ายทอดสดทั่วโลก
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 กษัตริย์พระองค์ใหม่แห่งสหราชอาณาจักร มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ก่อนหน้านี้พสกนิกรมาปักหลักรอชมขบวนเสด็จบริเวณถนนเดอะมอลล์ ที่จะเป็นเส้นทางขบวนเสด็จหลายคนมากางเต็นท์รอล่วงหน้าก่อนวันงานหลายวันเพื่อจะได้จับจองทำเลที่ดีที่สุด บางคนเดินทางมาไกลหลายร้อยกิโลเมตร เพราะไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้และอาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของหลายๆ คน ไม่เฉพาะผู้คนเท่านั้นที่จะได้ร่วมในบรรยากาศของการเฉลิมฉลองครั้งสำคัญ เวลานี้สวนสัตว์หลายแห่งในอังกฤษได้มีการประดับธงยูเนียนแจ๊กเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองในครั้งด้วย นับเป็นอีกหนึ่งสีสันที่เกิดขึ้นภายในสวนสัตว์ที่สร้างความแปลกใหม่ให้บรรดาสัตว์ต่างๆ
ขณะเดียวกัน ประชาชนที่สัญจรไปมาด้วยรถไฟและรถไฟใต้ดินในช่วงระหว่างวันที่ 5-8 พ.ค.ต่างอมยิ้มเมื่อได้ฟังเสียงประกาศต้อนรับผู้โดยสารด้วยข้อความพิเศษ จากสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ซึ่งทางเจ้าหน้าที่นำมาเผยแพร่ พระองค์ตรัสว่า “พระราชินีและข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหลายและครอบครัวมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์พิธีบรมราชาภิเษก” ตามด้วยคำอวยพรจากสมเด็จพระราชินีคามิลลาที่ตรัสว่า “ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใด ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะเดินทางอย่างปลอดภัยและมีความสุข” จากนั้นสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ตรัสปิดท้ายด้วยวลีคุ้นหูว่า “ขอให้ระลึกเสมอว่า โปรดระวังช่องว่างระหว่างขบวนรถไฟกับชานชาลาด้วย”
เจคเกอลีน สตาร์ หัวหน้าผู้บริหารของเรล เดลิเวอรี กรุ๊ป ตัวแทนของอุตสาหกรรมรถไฟของสหราชอาณาจักร เผยว่า เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่กษัตริย์และสมเด็จพระราชินีทรงเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ สำหรับสื่อเสียงที่นำมาเผยแพร่ ทีมเสียงจากองค์การการคมนาคมสำหรับลอนดอน เดินทางไปบันทึกพระสุรเสียงของพระองค์และสมเด็จพระราชินี ที่พระตำหนักไฮโกรฟ มณฑลกลอสเตอร์เชียร์ ไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เพื่อร่วมเฉลิมฉลองช่วงเวลาพิเศษ ซึ่งจะใช้ประกาศทั่วสถานีรถไฟ 2,570 สถานีทั่วประเทศ และรถไฟใต้ดิน 270 สถานี ในกรุงลอนดอน
ข้อมูลจากบีบีซี ระบุว่า ผู้คนในสหราชอาณาจักร และทั่วโลกได้ชมพระราชพิธีครั้งประวัติศาสตรา พระบรมราชาพิเษกสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 กษัตริย์พระองค์ใหม่แห่งราชอาณาจักร ซึ่งมีขั้นตอนสำคัญ
ขั้นตอนที่ 1 : รับรองฐานะความเป็นกษัตริย์ จะมีการประกาศแนะนำพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ต่อปวงชน ตามธรรมเนียมเก่าแก่ซึ่งนับย้อนไปได้ถึงยุคแองโกล-แซ็กซอน โดยอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอเบอรีจะยืนอยู่หน้าบัลลังก์ราชาภิเษกอายุ 700 ปี ก่อนจะหันไปทางทิศต่าง ๆ ของมหาวิหาร พร้อมป่าวประกาศว่าสมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 คือ “กษัตริย์พระองค์ใหม่ของพวกเรา อย่างไม่ต้องสงสัย” จากนั้นจะขอให้ผู้เข้าร่วมพระราชพิธีถวายความเคารพ และกล่าวถวายความจงรักภักดี ผู้เข้าร่วมพระราชพิธีจะเปล่งเสียงขึ้นพร้อมกันว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงปกปักรักษาพระราชา”
สำหรับบัลลังก์ราชาภิเษก หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าพระราชอาสน์เซนต์เอ็ดเวิร์ดนั้น เชื่อกันว่าเป็นเครื่องเรือนอายุเก่าแก่ที่สุดในสหราชอาณาจักรที่ยังถูกใช้งานตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมอยู่ โดยมีกษัตริย์อังกฤษถึง 26 พระองค์ ที่ได้ประกอบพิธีราชาภิเษกบนบัลลังก์นี้
ขั้นตอนที่ 2 : ทรงกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอเบอรี นักบวชผู้มีสมณศักดิ์สูงสุดของศาสนจักรอังกฤษ จะขอให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ เพื่อยืนยันว่าจะทรงพิทักษ์รักษากฎหมายของแผ่นดินและศาสนจักรอังกฤษ โดยจะทรงวางพระหัตถ์ลงบนพระคัมภีร์ไบเบิลระหว่างตรัสคำปฏิญาณดังกล่าว ซึ่งเป็นขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ทรงปฏิบัติตาม คาดว่าสมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 อาจจะมีพระราชดำรัสเพิ่มเติมเป็นพิเศษในการนี้ เพื่อทรงแสดงการอุปถัมภ์รับรองศาสนาและความเชื่ออื่น ๆ ที่มีผู้นับถือกันในสหราชอาณาจักรด้วย แต่พระราชดำรัสนี้จะไม่รวมอยู่ในคำสัตย์ปฏิญาณที่เป็นทางการข้างต้น
ขั้นตอนที่ 3 : เจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ ฉลองพระองค์คลุมและฉลองพระองค์ชั้นนอกที่เป็นชุดพิธีการจะถูกถอดออก จากนั้นกษัตริย์พระองค์ใหม่จะประทับบนบัลลังก์ราชาภิเษกเพื่อทรงรับการเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อแสดงถึงสถานะผู้นำทางจิตวิญญาณและความเป็นองค์ประมุขสูงสุดของศาสนาจักรอังกฤษ
อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอเบอรีจะเทน้ำมันออกจากขวดอินทรีทองคำ โดยเทลงบนฉลองพระหัตถ์ช้อนราชาภิเษก ก่อนจะเจิมน้ำมันดังกล่าวเป็นเครื่องหมายกางเขนบนพระนลาฏ (หน้าผาก) พระอุระ (หน้าอก) และที่พระหัตถ์ทั้งสองข้างขวดบรรจุน้ำมันศักดิ์สิทธิ์นั้นทำขึ้นสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เมื่อหลายร้อยปีก่อน โดยเลียนแบบของเก่าและคติความเชื่อจากตำนานของนักบุญโทมัส แบ็กเค็ต ในศตวรรษที่ 12 ซึ่งระบุว่าพระแม่มารีได้ปรากฏพระองค์ต่อหน้านักบุญผู้นี้และประทานอินทรีทองคำให้ โดยทำนายว่ากษัตริย์อังกฤษในอนาคตจะทรงได้รับการเจิมด้วยอินทรีทองคำนี้
ส่วนฉลองพระหัตถ์ช้อนราชาภิเษกนั้น มีอายุเก่าแก่ยิ่งกว่าขวดอินทรีทองคำมาก ทั้งยังเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่รอดจากการถูกทำลายโดยนายโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ผู้โค่นล้มสถาบันกษัตริย์ในยุคสงครามกลางเมืองของอังกฤษน้ำมันศักดิ์สิทธิ์นั้นมีการผลิตขึ้นเพื่อพระราชพิธีในครั้งนี้เป็นพิเศษ โดยสกัดจากผลมะกอกที่ปลูกในป่าสองแห่งบนภูเขา Mount of Olives ในนครเยรูซาเลม ทั้งยังผ่านพิธีปลุกเสกในโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสุสานของพระเยซูอีกด้วยในระหว่างการเจิมน้ำมันนี้ เจ้าหน้าที่จะใช้ผ้าคลุมเป็นเพดานและม่านกั้นรอบบัลลังก์ราชาภิเษก เพื่อปิดบังสายตาของสามัญชนไม่ให้มองเห็นพิธีกรรมดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เนื่องจากเป็นพิธีกรรมส่วนพระองค์ระหว่างกษัตริย์กับพระผู้เป็นเจ้า
ขั้นตอนที่ 4 : สวมพระมหามงกุฎ เมื่อเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์และเปลี่ยนเครื่องทรงเรียบร้อยแล้ว พระราชพิธีได้ดำเนินมาถึงขั้นตอนสำคัญอันเป็นหัวใจของราชาภิเษกหรือการสถาปนาแต่งตั้งพระราชา โดยนักบวชจะถวายการสวมหรือวางพระมหามงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดลงบนพระเศียรของกษัตริย์ ซึ่งตลอดพระชนมชีพพระองค์จะได้ทรงพระมหามงกุฎนี้เพียงครั้งเดียว ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเท่านั้นพระมหามงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดนั้น ได้รับการขนานนามตามชื่อของกษัตริย์ยุคแองโกล-แซ็กซอน คือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดธรรมสักขี ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น “นักบุญเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพบาป” (Edward the Confessor) เชื่อกันว่ามีการใช้พระมหามงกุฎนี้ในพิธีราชาภิเษกมาจนถึงปี 1220 ก่อนที่จะถูกทำลายไปในยุคสงครามกลางเมือง
ขั้นตอนที่ 5 : เสด็จขึ้นครองราชย์ ในขั้นตอนสุดท้ายนี้ กษัตริย์พระองค์ใหม่จะเสด็จขึ้นประทับบนพระราชอาสน์อันเป็นสัญลักษณ์ของการขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ โดยในอดีตบรรดานักบวชและขุนนางอาจนำพระองค์ไปประทับยังพระราชอาสน์ด้วยวิธีอุ้มหรือยกพระวรกาย ตามธรรมเนียมดั้งเดิมแล้ว ในขั้นตอนนี้เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางจะพากันต่อแถวยาว เพื่อเข้าเฝ้าฯ ถวายความเคารพ โดยพวกเขาจะคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์ กล่าวถวายความจงรักภักดี ก่อนจะจุมพิตที่พระหัตถ์ขวา
อย่างไรก็ตาม คาดว่าครั้งนี้พิธีการจะเปลี่ยนแปลงไป โดยเจ้าชายวิลเลียมจะเป็นพระราชวงศ์ที่มีฐานันดรชั้นดยุคเพียงพระองค์เดียว ที่ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายความเคารพต่อสมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 จากนั้นก็จะเป็นพราชพิธีสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ เมื่อเสร็จพิธี สมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 และสมเด็จพระราชินีคามิลลา จะเสด็จลงจากพระราชอาสน์เพื่อไปยังโบสถ์น้อยเซนต์เอ็ดเวิร์ดภายในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ เพื่อผลัดเปลี่ยนพระมหามงกุฎที่ทรงอยู่ จากพระมหามงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดมาเป็นพระมหามงกุฎอิมพีเรียล ก่อนเสด็จออกจากมหาวิหารเพื่อทรงเข้าร่วมขบวนที่เตรียมเคลื่อนกลับไปยังพระราชวังบักกิงแฮม โดยจะมีการบรรเลงเพลงชาติของสหราชอาณาจักรในช่วงเวลาดังกล่าว