จีนจัดพิธีรับเสด็จฯ สมพระเกียรติ ในหลวง-ราชินี ‘สี.จิ้นผิง’กราบบังคมทูล ไทย-จีนเสมือนพี่น้องกัน

จีนจัดพิธีรับเสด็จฯ สมพระเกียรติ ในหลวง-ราชินี ‘สี.จิ้นผิง’กราบบังคมทูล ไทย-จีนเสมือนพี่น้องกัน

วันเสาร์ ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

จีนจัดพิธีรับเสด็จฯสมพระเกียรติ

ในหลวง-ราชินี

‘สี จิ้นผิง’กราบบังคมทูล

ไทย-จีนเสมือนพี่น้องกัน

ถวายอาลัยพระพันปีหลวง

ซื้อข้าวจากไทย5แสนตัน

 

สาธารณรัฐประชาชนจีน จัดพิธีรับเสด็จฯ “ในหลวง-พระราชินี” ในโอกาสเสด็จฯ เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการครั้งประวัติศาสตร์ “ปธน.สี จิ้นผิง” เฝ้าฯรับเสด็จและเข้ากราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ ณ ศาลาประชาชน ย้ำ จีน-ไทย เสมือนเป็นพี่น้องกัน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระชับมิตรภาพ ซึ่งได้นำพาความสัมพันธ์สองประเทศก้าวเข้าสู่ระยะใหม่ของการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน ขณะที่“นายกฯอนุทิน”เผย“ปธน.จีน” กราบบังคมทูล ซื้อข้าวไทย 5 แสนตัน

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.35 น. (เวลาท้องถิ่น) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนิน ไปยังมหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง ณ ที่นั้น นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และศาสตราจารย์เผิง ลี่หยวน ภริยา พร้อมด้วยข้าราชการระดับสูง สาธารณรัฐประชาชนจีน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จฯ

ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ขึ้นแท่นรับการถวายความเคารพ พร้อมด้วยประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กองทหารเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามลำดับ ฝ่ายจีนยิงสลุต 21 นัด ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงความเคารพในระดับสูงสุด ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทางทหารสากลที่ใช้ในโอกาสสำคัญต่าง ๆ ของชาติ เสร็จแล้ว ผู้บังคับกองทหารเกียรติยศ กราบบังคมทูลรายงานและเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปทรงตรวจแถวทหารเกียรติยศ เป็นภาษาจีน

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ไปทรงตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินผ่านแถวเด็กชาวจีนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ต่างโบกธงชาติไทย ธงชาติจีน และช่อดอกไม้ โอกาสนี้ ทรงแย้มพระสรวลและทรงโบกพระหัตถ์ทักทายเด็กชาวจีนเหล่านั้น จากนั้น เสด็จขึ้นแท่นรับการถวายความเคารพอีกครั้ง เพื่อทอดพระเนตรการสวนสนามของกองทหารเกียรติยศและการแปรขบวนของวงดุริยางค์ทหาร

เมื่อเสร็จสิ้นการสวนสนามและการแปรขบวนดังกล่าวแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี จึงเสด็จพระราชดำเนินเข้ายังอาคารมหาศาลาประชาชน มหาศาลาประชาชน ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของจัตุรัสเทียนอันเหมิน เปิดใช้งานเมื่อเดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๒ (คริสตศักราช ๑๙๕๙) เป็นหนึ่งในอาคารของโครงการ “สิบมหาอาคาร” ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบ ๑๐ ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นสัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและการทูตของประเทศ ใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมกับคณะผู้แทนจากต่างประเทศในการเยือนอย่างเป็นทางการ หรือเพื่อปฏิบัติงาน รวมทั้งการจัดงานเฉลิมฉลองในวาระสำคัญต่าง ๆ ที่มีประมุขและผู้นำระดับสูงเข้าร่วม

เมื่อเสด็จพระราชดำเนินเข้าอาคารมหาศาลาประชาชน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและภริยา ที่ด้านหน้าฉากภาพจิตรกรรมจีน แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปยังห้องปักกิ่ง พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ประธานาธิบดีและภริยา พร้อมด้วยข้าราชการระดับสูง สาธารณรัฐประชาชนจีน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และทรงพระราชปฏิสันถารตามพระราชอัธยาศัย

ต่อจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังห้องตะวันออก พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยข้าราชการระดับสูง สาธารณรัฐประชาชนจีน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และทรงพระราชปฏิสันถารตามพระราชอัธยาศัย

ทั้งนี้ นายสี จิ้นผิง ได้กราบบังคมทูลแนะนำ เส้นแกนกลางปักกิ่ง (Beijing Central Axis) ซึ่งเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ให้แก่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทอดพระเนตรและทรงรับทราบ

นายสี จิ้นผิง กราบบังคมทูล ว่า ในปี 2022 ข้าพเจ้าและภริยา ได้เดินทางไปเยือนประเทศไทย และได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี อย่างใกล้ชิด โดยได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงลึกเกี่ยวกับการกระชับมิตรภาพจีน-ไทย ซึ่งได้นำพาความสัมพันธ์จีน-ไทยก้าวเข้าสู่ระยะใหม่ของการ สร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน

พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบ ว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับครั้ง ที่ท่านและภริยาได้มาเยือนประเทศไทย เราได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนสนทนากันอย่างใกล้ชิด ความรู้สึกนี้ได้ต่อเนื่องมาจนถึงการมาเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้งนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง”

นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกครั้ง ขอถวายการต้อนรับในโอกาสเสด็จฯ เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ

นายสี จิ้นผิง กราบบังคมทูลว่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเลือกสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศใหญ่ที่เสด็จฯ เยือนอย่างเป็นทางการ และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จฯ เยือนจีนนับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์จีน-ไทย และความผูกพันอันลึกซึ้งตามหลัก “จีนไทยเป็นครอบครัวเดียวกัน”

พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสมาเยือนประเทศจีน ข้าพเจ้าได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศที่ทันสมัยและสวยงามมาก ข้าพเจ้ารู้สึกปิติยินดีที่เห็นประเทศของเราทั้งสอง มีความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ใกล้ชิดมาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่สนิทสนมเสมือนญาติสนิท โดยมีการแลกเปลี่ยนกิจกรรมระหว่างประชาชนและแผนความร่วมมือมากมาย”

ขณะที่หนังสือพิมพ์ People’s Daily รายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้เรียกร้องให้ขับเคลื่อนการสร้างประชาคมจีน-ไทย ที่มีอนาคตร่วมกัน ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป ซึ่งการที่พระมหากษัตริย์ไทย ทรงเลือกจีนเป็นประเทศสำคัญประเทศแรก ในการเสด็จฯ เยือนเป็นทางการ และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จฯเยือนจีน นับตั้งแต่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างเต็มที่ถึงความสำคัญอย่างยิ่งที่ทรงให้กับความสัมพันธ์จีน-ไทย และมิตรภาพอันลึกซึ้งที่เปรียบเสมือนเป็นพี่น้องกัน

สี จิ้นผิง ยังได้แสดงความอาลัย ต่อการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และกล่าวว่า พระบรมวงศานุวงศ์ไทย มีความสัมพันธ์อันยาวนานกับจีน และทรงมีคุณูปการสำคัญในการส่งเสริมมิตรภาพระหว่างสองประเทศ ซึ่งจีนซาบซึ้งอย่างยิ่ง

สี จิ้นผิง กล่าวด้วยว่า ปีนี้เป็นปีครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และเป็น “ปีทองแห่งวาระครบรอบ 50 ปี มิตรภาพจีน-ไทย” โดยระบุว่า ตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ท่ามกลางภูมิทัศน์ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จีนและไทยได้ทำงานร่วมกันและสนับสนุนซึ่งกันและกันมาโดยตลอด ทำให้สองประเทศเป็นเหมือนญาติที่ดี มิตรที่ดี และหุ้นส่วนที่ดีต่อกัน และแสดงความมุ่งมั่นว่า ณ จุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์ครั้งใหม่นี้ ทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพาความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น ในการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกันในอีก 50 ปีข้างหน้า และจะร่วมกันจารึกบทใหม่แห่งมิตรภาพ จีน-ไทย สืบไป

โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะนายกรัฐมนตรี ฉายพระบรมฉายาลักษณ์ด้วย สมควรแก่เวลา จึงประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับโรงแรมไชนาเวิลด์ กรุงปักกิ่ง โรงแรมที่ประทับ

ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลา ณอนุสาวรีย์วีรชน จัตุรัสเทียนอันเหมิน และทอดพระเนตรสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในกรุงปักกิ่ง ได้แก่ วัดหลิงกวง ศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์กรุงปักกิ่ง ศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีและทรัพยากรด้านการศึกษา สถาบันเทคโนโลยีด้านอวกาศจีน ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมวิทยาศาสตร์นักบินจีน และศูนย์ควบคุมการบินอวกาศกรุงปักกิ่ง

ทางด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก ว่า “ปธน.สีจิ้นผิง กราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ในหลวง จีนซื้อข้าวไทยห้าแสนตัน”

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ได้จัดพิธียิ่งใหญ่ต้อนรับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในโอกาสเสด็จฯ เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พระมหากษัตริย์ของไทย เสด็จพระราชดำเนินไปประเทศจีน นับตั้งแต่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว โดยรัฐบาลปักกิ่งได้ใช้โอกาสนี้ในการนำเสนอตัวเองว่า เป็นเพื่อนบ้านผู้มีเมตตา และหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่เชื่อถือได้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานด้วยว่า ความสัมพันธ์ทวิภาคีได้พัฒนาไปอย่างมีนัยสำคัญ นับตั้งแต่ที่ไทย ซึ่งยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างแน่วแน่กับสหรัฐอเมริกา ในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ ในช่วงสงครามเย็น และมองว่า จีนเป็นภัยคุกคาม นับตั้งแต่ยุคหลังสงครามเย็น ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้แข็งแกร่งขึ้น โดยมีรากฐานมาจากความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนที่แน่นแฟ้น ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดของภาคการท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย และเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ยานยนต์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จฯ เยือนจีนครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.2530 ขณะทรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมาร ในฐานะผู้แทนพระองค์สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ในบทบรรณาธิการของสำนักข่าวซินหัว ได้มีการนำเสนอประวัติศาสตร์การค้า และการแลกเปลี่ยนระหว่างจีนกับไทยที่มีมายาวนาน โดยระบุว่า ก่อนที่ชาวอาณานิคมตะวันตกจะเข้ามาตั้งถิ่นฐานในวงกว้าง การค้าระหว่างประเทศส่วนใหญ่ของไทยถูกขายให้กับจีน โดยไทยนำข้าว เครื่องเทศ และแร่ดีบุก มาแลกเปลี่ยนกับเครื่องเคลือบดินเผา ผ้าไหม ชา และเครื่องเหล็กของจีน

สำนักข่าวซินหัวระบุว่า ไม่กี่ปีก่อนที่ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศจะก่อตัวขึ้น ไทยยังได้ส่งนักปิงปองไปแข่งขันชิงแชมป์ที่ประเทศจีน และในปี 2517 รัฐบาลปักกิ่ง ยังเคยจัดหาน้ำมันดิบราคาถูก เพื่อช่วยให้ไทยก้าวผ่านปัญหาเศรษฐกิจไปได้ พร้อมกันนี้ ยังได้เผยแพร่พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี การนี้ ทรงมีพระราชปฏิสันถาร กับประธานาธิบดีจีน และ เผิง ลี่หยวน ผู้เป็นภริยา ที่อาคารมหาศาลาประชาชน ในกรุงปักกิ่ง

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top