วันศุกร์ ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / สกู๊ปพิเศษ
ประเมินกฎหมายด้วย “RIA”ยุติเหลื่อมล้ำ-ขับเคลื่อนประเทศ

ประเมินกฎหมายด้วย “RIA”ยุติเหลื่อมล้ำ-ขับเคลื่อนประเทศ

วันศุกร์ ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557, 02.00 น.
Tag :
  •  

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความขัดแย้งในสังคมไทยที่ผ่านมา ประเด็น “ความเหลื่อมล้ำ” ไม่ว่าด้านเศรษฐกิจและสังคม เป็นสาเหตุสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายต่างๆ ทั้งในแง่ของตัวกฎหมายเอง และในแง่ของการบังคับใช้ ดังจะเห็นได้จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ว่ากฎหมายบางฉบับที่ให้สิทธิประโยชน์บางอย่างกับประชาชน แต่ไม่มีใครคิดจะใช้เพราะขั้นตอนยุ่งยากเกินไป

            หรือกฏหมายบางฉบับมีข้อห้ามมากมาย แต่ไม่สามารถห้ามได้จริงเพราะขัดกับวิถีชีวิตปกติของผู้คนบ้าง หรือการตรวจสอบของภาครัฐทำได้ไม่ทั่วถึงเพราะขอบเขตการห้ามกว้างเกินไปบ้าง ซ้ำร้ายยังกลายเป็นเครื่องมือให้เจ้าหน้าที่รัฐบางคนที่มีพฤติกรรมทุจริต นำไปใช้เรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบได้ด้วย ทำให้เป็นที่มาของแนวคิดว่าด้วยการประเมินคุณภาพของกฏหมาย ที่บรรดาประเทศพัฒนาแล้วต่างนำมาใช้กัน


            “ทำไมต้องมี RIA ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วเขาก็มี เพราะเราต้องการนำไปสู่การออกกฎหมายที่มีคุณภาพ กระบวนการ RIA ที่ดี มันจะเพิ่มความรับผิดชอบของภาครัฐ ที่เรียกว่า Accountability ต้องรับผิดชอบกับกฎหมายที่เขาผลักดันออกมา ว่ามันเป็นกฎหมายที่ดีจริง มีประโยชน์จริง

            ไม่งั้นใครก็ได้ ราชการหน่วยไหนอยากมีอำนาจเพิ่มมากขึ้นก็ร่างกฏหมายออกมา แล้วก็ผลักมันออกมา ยิ่งมีดุลยพินิจเยอะๆ ยิ่งดี สุดท้ายมันก็จะเป็นการสร้างภาระ สร้างต้นทุนต่อเศรษฐกิจและสังคมของเรา ตรงนี้ทำให้หน่วยงานรัฐต้องตอบคำถามเพิ่มขึ้น มันอาจจะไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ดีกว่าไม่ต้องตอบคำถามใครเลย ร่างมาเอง”

            ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงความสำคัญของการประเมินผลกระทบและความคุ้มค่าของกฎหมาย (Regulatory Impact Analysis-RIA) ในงานแถลงข่าวโครงการศึกษาวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์ผลกระทบในการออกกฏหมาย” เมื่อ 27 พ.ค. 2557 ซึ่งเป็นการทำร่วมกันระหว่าง TDRI กับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

            ดร.เดือนเด่น ยกตัวอย่างกฎหมายหลายฉบับที่มีปัญหา เช่นการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) บนหลังคาอาคารเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ที่ต้องขอใบอนุญาตในลักษณะโรงงานอุตสาหกรรม (รง.4) ตามมาตรา 48 ของ พ.ร.บ. การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 (ล่าสุดเมื่อเดือน มี.ค. 2557 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน-กกพ. อนุญาตให้ทำได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาต รง.4 แล้ว)

            หรือการใช้ชีวิตของชาวต่างชาติในประเทศไทย ที่ผ่านมาเรามีกฎหมายที่ควบคุมการประกอบอาชีพของชาวต่างชาติแทบทุกเรื่อง ซึ่งในความเป็นจริงอาจไม่สามารถบังคับใช้ได้ครบทั้งหมด โดยเฉพาะกิจการขนาดย่อม ทั้งหลาย ที่คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตรวจสอบได้ครบว่าใครถือหุ้นบ้างและถือหุ้นเท่าไร ดังนั้นสิ่งที่ควรทำ น่าจะเป็นการวิเคราะห์กันเป็นเรื่องๆ ไป

            “เรามีกฎหมายประกอบกิจการคนต่างด้าว ซึ่งห้ามเยอะแยะไปหมดเลย โดยไม่คิดว่าห้ามไปหมดทุกสาขาแล้วจะห้ามได้จริงหรือ? กรมทะเบียนการค้าสามารถไปตรวจวิสาหกิจ 4-5 แสนรายได้หรือว่าเขาถือหุ้นยังไง? แทนที่เราจะมาคิดว่าสาขาไหนที่ควรจะสงวนให้กับคนไทย แล้วเราก็ตรวจสอบกันจริงๆ เช่นเราเห็นว่าต่างชาติไม่ควรมาถือครองที่ดินในเมืองไทย เราก็จะสงวนว่าเรื่องที่ดินนี่ห้ามต่างชาติ แล้วเราก็จะทำการตรวจสอบอย่างเข้มข้นเลย ว่าการถือครองที่ดิน เป็นคนไทยหรือนอมินี (ตัวแทน) กันแน่ จะทำได้ เพราะเรามีกำลังพลจำกัด

            แต่ถ้าเราห้ามบริการทุกประเภท 8 พันกว่าประเภท ไม่มีทาง..สุดท้ายแล้วมันคืออะไร? ก็คือเหมือนเราไม่ได้ห้ามเลย เพราะเราห้ามไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องของ Enforcement (การบังคับใช้กฏหมาย) ฉะนั้น RIA ก็คือการประเมินว่าคุณออกกฏหมายมาแล้วคุณมีปัญญาบังคับใช้มันไหม? คุณมีทรัพยากร (กำลังพลและเครื่องมือ) ที่จะบังคับใช้มันไหม? นี่เป็นคำถามที่ผู้ร่างกฎหมายจะต้องตอบ และผู้ออกกฎหมาย หรือฝ่ายนิติบัญญัติต้องตรวจสอบ” ดร.เดือนเด่น อธิบาย

            นอกจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว การทำ RIA ยังสามารถนำมาใช้ประเมินก่อนจะออกกฏหมายประเภทที่กระทบต่อชีวิตของประชาชนอย่างกว้างขวางได้ด้วย นักวิชาการจาก TDRI รายนี้ ระบุว่า ประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย กระบวนการออกกฎหมายมักมาจากภาครัฐฝ่ายเดียวแทบทุกเรื่อง จนกระทั่งเมื่อกฎหมายออกมาแล้ว จึงไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่งไม่เกิดประโยชน์เพราะยากต่อการปรับปรุงแก้ไข

            ตรงกันข้ามกับประเทศพัฒนาแล้ว กฎหมายลักษณะดังกล่าวต้องเปิดให้ผู้ได้รับผลกระทบทุกภาคส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นตั้งแต่เริ่มมีแนวคิดในประเด็นนั้นๆ ว่าควรจะต้องออกกฎหมายมาควบคุมหรือไม่? ถ้าต้องออกควรเขียนให้ออกมาอย่างไร? อันจะทำให้ได้รับข้อมูลรอบด้าน นำไปสู่ข้อสรุปที่ต่างฝ่ายต่างรับได้ (win-win) ก่อนออกเป็นกฎหมาย แน่นอนว่าหากทำเช่นนี้แล้ว ก็จะไม่มีผู้คัดค้านออกมาประท้วงกันบ่อยๆ เพราะมองว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมอีกต่อไป

            “เรื่องนี้สำคัญมาก..การทำ RIA เขาไม่ได้ทำตอนกฎหมายเสร็จแล้ว มันต้องทำก่อนที่จะมีการเขียนอักษรตัวแรกของกฏหมาย เราเข้าใจผิดแล้วทุกคนก็ทำกันมาตลอด ทำแล้วก็มารับฟังความคิดเห็นว่าร่างนี้เป็นอย่างไร? Expert (ผู้เชี่ยวชาญ) ต่างประเทศ เขาบอกว่าต้องทำตั้งแต่มี Idea (แนวคิด) ที่จะเริ่มร่างเลย ก็ต้องมารับฟังความคิดเห็นแล้ว

            ที่ปรึกษาต่างประเทศนี้เขาก็บอกว่า หากกฎหมายฉบับหนี่งใช้เวลา 100 เปอร์เซ็นต์ ครึ่งหนึ่ง (50 เปอร์เซ็นต์) ไม่ได้อยู่ที่การร่าง แต่อยู่ที่การรับฟังความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุด อีก 25 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่การร่างกฎหมาย ฉะนั้นเรื่องร่างไม่ใช่เรื่องใหญ่ และอีก 25 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่กระบวนการนิติบัญญัติ และการประเมินผลกระทบต้องทำอย่างน้อย 2 ครั้ง คือก่อนยกร่างกฎหมาย (หลังรวบรวมความคิดเห็น) และหลังจากมีร่างกฎหมาย (เมื่อร่างตัวกฎหมายออกมาแล้ว และรอนำเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ)

            ส่วนอันนี้เป็นกระบวนการออกกฎหมายที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย คือหน่วยงานราชการใช้เวลาทั้งหมดร่างมันขึ้นมา โดยที่คนอื่นอาจจะไม่รู้เรื่องเท่าไร ออกมามันก็มีปัญหา มีคนคัดค้านเยอะ ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่รอบคอบ อันนี้ไม่เฉพาะประเทศไทย แต่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนมากก็เป็นแบบนี้เช่นกัน”

            ดร.เดือนเด่น ฝากทิ้งท้าย และเสนอแนะว่านอกจากกฎหมายหลัก (พระราชบัญญัติ) แล้ว กฎหมายระดับรองหรือกฏหมายลูกที่ออกตามอำนาจของกฏหมายหลัก (เช่นประกาศหรือกฏกระทรวง) ก็ควรถูกประเมินเช่นกัน นอกจากนี้ ควรมีองค์กรอิสระที่ปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง ทำหน้าที่ตรวจสอบการประเมิน RIA ของภาครัฐโดยเฉพาะ รวมทั้งทำงานใกล้ชิดกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคมด้วย

            ไหนๆ ช่วงนี้ก็เป็นบรรยากาศของการปฏิรูป และความเหลื่อมล้ำก็เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาที่ผ่านมา ดังนั้นก็น่าจะถือโอกาสนี้ เปลี่ยนแปลงกรอบวิธีคิดในการออกกฎหมายที่มีผลกระทบในวงกว้าง จากเดิมที่เป็นแบบรวมศูนย์ที่ภาครัฐ มาเป็นการให้ภาคประชาชน หรือผู้มีส่วนได้เสียเข้าไปมีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อให้กฎหมายแต่ละฉบับที่จะออกมามีประสิทธิภาพใช้ได้จริง และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย

            ยุติวงจร “เหลื่อมล้ำ-ขัดแย้ง” และนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

 

SCOOP@NAEWNA.COM

 

 

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

สอยคิวลุ้น! บรรจุแข่งโอลิมปิกเกมส์

ครั้งประวัติศาสตร์!อังกฤษลุยถ้วยใหญ่ยุโรป6ทีม

‘ปธ.กมธ.กิจการสภาฯ’โร่แจงสร้าง'โรงหนัง4D'ต้องการฉายประวัติศาสตร์การเมืองให้ปชช.

หยุดยาว นทท.ไทยทะลัก! ‘ลงเกาะหมาก-กูด’ ที่พักเต็มแน่นทุกห้องเกิน 5 พันคน

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved