เป็นที่ฮือฮาขึ้นทันที เมื่อ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี 9 ธ.ค. 2557 มีมติให้ “เก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ” ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอมา โดยให้เหตุผลว่า โรงเรียนกวดวิชาเป็นโรงเรียนที่ลงทุนไม่มาก แต่มีผลกำไรค่อนข้างสูง ประกอบกับกฎหมายไม่ได้บังคับให้โรงเรียนกวดวิชา ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จึงทำให้มีช่องโหว่ของการเก็บภาษี
ประเด็นการเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยมีแนวคิดทำนองนี้เช่นกัน หลังพบว่ามีบางแห่งอาจเข้าข่าย “ค้ากำไรเกินควร” โดยมีผู้ร้องเรียนว่าแทบไม่มีการลงทุนเพราะไม่มีครูสอน เแต่ใช้วิธีนำวีดีโอบันทึกการสอนของติวเตอร์ชื่อดังไปเปิดให้ดูเท่านั้น ก็สามารถเก็บค่าสอนได้เป็นกอบเป็นกำแล้ว อย่างไรก็ตาม มติ ครม. เมื่อ 11 ม.ค. 2554 ก็ปัดข้อเสนอนี้ตกไป
ต้องยอมรับว่าธุรกิจกวดวิชา เป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูงมากและแนวโน้มมีแต่โตวันโตคืน นอกจากสถาบันชื่อดังระดับ “บิ๊กโฟร์” 4 แห่ง อย่าง “เคมี อ.อุ๊” หรืออาจารย์อุไรวรรณ ศิวะกุล, “Applied Physics” โดย นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์, “The Brain” ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “WE by The Brain” และ “Da’vance” โดยอาจารย์ปิง ที่อยู่คู่นักเรียนไทยมาร่วม 2 ทศวรรษแล้ว ยังมีสถาบันใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงบรรดา “ติวเตอร์พเนจร” ที่มีตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำ ไปจนถึงผู้สำเร็จการศึกษาสาขาอื่นๆ เช่น วิศวกร เภสัชกร พยาบาล หรือมนุษยศาสตร์เอกภาษาต่างประเทศ เป็นต้น ที่หาลำไพ่พิเศษด้วยการรับสอนวิชาที่ตนถนัด เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา หรือภาษาอังกฤษ โดยไม่มีสถานที่อย่างเป็นทางการ แต่ใช้พื้นที่สวนสาธารณะบ้าง ร้านอาหารบ้าง หรือตามบ้านบ้าง เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยเมื่อเดือนส.ค. 2557 ที่ผ่านมา ระบุว่า มูลค่าตลาดธุรกิจกวดวิชา ในปี 2556 อยู่ที่ประมาณ 7,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตไปสู่ 8,189 ล้านบาท ในปี 2558 หรือเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปี ซึ่งสาเหตุสำคัญ คือ ผู้เรียนเชื่อว่าจะทำให้ผลการเรียนดีขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการสอบได้ ใช้เตรียมตัวสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ต้องการเทคนิคการทำข้อสอบ และไม่เชื่อมั่นในคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษาบางแห่ง
สอดคล้องกับผลสำรวจของ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพลล์) ระหว่างเดือนก.ค. - ส.ค. 2555 ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4 - มัธยมศึกษาปีที่ 6 รวม 1,116 คน พบว่า ร้อยละ 78.86 เห็นว่าการเรียนกวดวิชาเป็นสิ่งจำเป็น เพราะปัจจุบันการแข่งขันทางการศึกษามีสูงขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องเรียนพิเศษเพื่อพัฒนาตนเองและการเรียนพิเศษทำให้มีความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนมากขึ้น
เช่นเดียวกับผลสำรวจของ สำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเตอร์เนตโพลล์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขต กทม.และปริมณฑล รวม 1,116 คน เมื่อช่วงกลางปี 2557 ที่ผ่านมา พบว่า ร้อยละ 46.68 ตอบว่า ตั้งใจจะเรียนกวดวิชา 3 - 5 วันต่อสัปดาห์ รองลงมา ร้อยละ 30.66 ตั้งใจจะเรียน 6 - 7 วันต่อสัปดาห์ ส่วนสาเหตุที่ต้องการเรียนกวดวิชา ร้อยละ 82.5 ตอบว่า เตรียมพร้อมเพื่อสอบในระดับการศึกษาที่สูงขึ้น รองลงมา ร้อยละ 80.87 ตอบว่าไม่เข้าใจที่ครูอาจารย์สอนในชั้นเรียน
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าเหตุใดธุรกิจกวดวิชาถึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดที่ นายอนุสรณ์ ศิวะกุล นายกสมาคมผู้บริหารและครูโรงเรียนกวดวิชา สามีของ อ.อุ๊ (อุไรวรรณ ศิวะกุล ติวเตอร์เคมีชื่อดัง) เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารผู้จัดการ 360 องศา เมื่อเดือน ม.ค. 2555 หัวข้อ “จากห้องแถวสู่ Education Complex เหรียญสองด้านสะท้อนระบบการศึกษา” ระบุว่า “โรงเรียนกวดวิชาจะไม่มีวันตาย ตราบใดที่การศึกษาในระบบหลักไม่อาจทำให้มาตรฐานการศึกษาของทุกโรงเรียนใกล้เคียงหรือเท่าเทียมกันได้” เพราะพ่อแม่ย่อมต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่บุตรหลาน
“ผมอยากให้พวกผมเจ๊ง แต่เราไม่เจ๊ง เพราะทุกรัฐบาลบริหารเน้นเชิงปริมาณ ไม่ได้เน้นคุณภาพ การศึกษาไทยยังมีปัญหา เราไม่ได้แก้ปัญหาเชิงคุณภาพแก่คนทั้งประเทศ ด้วยศักยภาพความเป็นมนุษย์ เขาเท่าเทียมกัน ไม่ใช่คนเกิดต่างจังหวัดจะโง่กว่าคนกรุงเทพฯ
ขณะที่มาตรฐานการศึกษาของเรามีปัญหา ทุกคนชิงโอกาสที่จะให้ลูกเรียนโรงเรียนที่ดีตั้งแต่ ม.ต้น เพื่อโอกาสที่จะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้สำเร็จ ยอมติวลูกตั้งแต่ ป.6 เข้า ม.1 หาโรงเรียนดีให้ลูกเรียนยาวตั้งแต่ ม.1 ถึง ม.6 ซึ่งนับโรงได้ จึงเป็นเหตุให้ต้องแข่งกันเข้า นักวิชาการบางคนพูดว่า ระบบการแข่งขันทำให้การศึกษาของไทยแย่ พูดอย่างนี้พูดที่ปลายเหตุการปฏิรูปการศึกษาไทยไม่ได้ผลิตครูที่มีคุณภาพ โรงเรียนไม่สามารถมีครูผู้สอนที่มีคุณภาพ ไม่สามารถบริหารจัดการคุณภาพ ถ้าทุกโรงเรียนมีครูที่มีคุณภาพซึ่งสะท้อนถึงการมีผู้บริหารที่ดีด้วย
ในอดีตผู้บริหารที่ดีมาจากครูที่ดี แต่ทุกวันนี้ทั้งระบบทำให้ครูมีปัญหา พอครูมีปัญหา โรงเรียนก็มีมาตรฐานต่างกัน ถ้าโรงเรียนมีคุณภาพเท่ากันหมด เด็กไม่ต้องออมาเข้าไม่กี่โรงเรียน ทั้งที่ผู้ปกครองทุกคนไม่อยากให้ลูกไปเรียนไกลๆ แต่โรงเรียนใกล้บ้านไม่มีคุณภาพ และกลายเป็นที่รวมของเด็กที่ไม่มีคุณภาพ เกิดปัญหาในชุมชน ตีรันฟันแทง ทะเลาะวิวาท”นายอนุสรณ์ กล่าว
หรือที่ ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เคยเขียนบทความหัวข้อ “ชนชั้นกับการศึกษา” ลงในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เมื่อเดือน พ.ค. 2554 อ้างอิงถึงผลการสำรวจของ ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบคโพลล์) หัวข้อ “ครูแบบไหนได้ใจเด็ก” สำรวจกลุ่มตัวอย่างเด็กและเยาวชนอายุ 7-20 ปี ใน 5 จังหวัดขนาดใหญ่ คือ กทม. เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี และสงขลา รวม 3,284 คน
พบว่า “นักเรียนที่ฐานะปานกลางถึงยากจน มีโอกาสได้พบครูที่พึงประสงค์ น้อยกว่าเด็กที่มีฐานะร่ำรวย” เช่น เด็กกลุ่มที่คิดว่าตนเองฐานะร่ำรวย ระบุว่าจะพบครูที่พูดจาดี-ไพเราะ มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 8.22 คะแนน ส่วนเด็กกลุ่มฐานะปานกลางถึงยากจน ระบุในหัวข้อดังกล่าว ด้วยค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 7.80 คะแนน จึงไม่ต้องแปลกใจว่า เหตุใดพ่อแม่จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้บุตรหลานได้เรียนในสถาบันการศึกษาชั้นนำ ซึ่งเป็นการการันตี “ความมั่นคงในหน้าที่การงาน-ความมั่งคั่งด้วยฐานะทางการเงิน” หรือก็คือการ “เลื่อนชนชั้น” ไปสู่สถานภาพทางสังคมที่สูงกว่าเดิมในอนาคต
“คนในสังคมไทยก็รับรู้กันดีอยู่ว่าโรงเรียนบ้านนอก โรงเรียนวัดที่เป็นวัดทั่วไป ไม่ใช่วัดดังๆ ในกรุงเทพฯไม่กี่โรงเรียน หรือโรงเรียนเทศบาลที่เป็นเทศบาลทั่วไป ย่อมมีการให้การศึกษาที่เปรียบเทียบไม่ได้กับโรงเรียนที่มีเด็กรวยๆ เรียน ครูโรงเรียนต่างๆ ก็รู้และพยายามที่จะหาทางย้ายเข้ามาสู่โรงเรียนดังๆ ที่มีลูกคนรวยเรียนอยู่ตลอดมา ครูในโรงเรียนท้องถิ่นก็ไม่ยอมให้ลูกของตนเรียนโรงเรียนที่ตนเองสอน หากโรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนบ้านนอกที่มีแต่ลูกหลานคนจนเรียน แต่กลับขวนขวายส่งลูก
เข้ามาเรียนในเมืองหรือเข้ากรุงเทพฯ
ครูที่สอนในโรงเรียนที่มีแต่เด็กจนเรียน ก็จะรู้ดีว่า แม้ตนเองสอนแย่หรือไม่เอาใจใส่เด็กนักเรียนเพียงใด พ่อแม่ของเด็กจนๆ ก็ไม่มีทางที่จะมากวดขันหรือจับผิดตนเองได้ ไม่ว่าด้วยเงื่อนไขความรู้ของพ่อแม่มีไม่มากพอ หรือไม่มีเวลาที่จะมาดูแลลูกตนเอง เอาแค่ว่าครูยังสอนหนังสืออยู่บ้างพ่อแม่ของเด็กจนๆ ก็พอใจแล้ว ในขณะที่ในโรงเรียนของเด็กรวยๆ ครูไม่กล้าที่จะทำแบบเดียวกับที่ทำในโรงเรียนเด็กจนๆ เพราะบรรดาพ่อแม่พวกนี้มีเสียงดัง และมีเวลากับความสามารถที่จะกวดขันหรือเล่นงานครูได้ รวมทั้งมีเงินมากพอที่จะส่งลูกมาเรียนพิเศษกับครูได้อีกด้วย”
อาจารย์อรรถจักร์กล่าวในบทความ และย้ำด้วยว่า หากแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึกในจุดนี้ไม่ได้ สังคมไทยก็ไม่อาจที่จะพ้นจากวิกฤติต่างๆ ได้เลย
“ธุรกิจกวดวิชา” ยิ่งใหญ่และร่ำรวย จนถึงขนาดต้อง “เก็บภาษี”!!!
สะท้อนภาพ “ความเหลื่อมล้ำ” ในระบบการศึกษาไทยชัดเจน!!!
เป็น “ตลกร้าย” ที่ใครก็คงขำไม่ออก!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี