มหากาพย์ “คลองถม” ดูท่าคงไม่จบง่ายๆ หลังผู้ค้าจำนวนไม่น้อย มองว่าสถานที่ที่ กทม. จัดไว้ให้ เป็นสถานที่ที่เดินทางลำบากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ล่าสุด 10 ก.พ. 2558 ตัวแทนกลุ่มผู้ค้ากว่า 300 ราย บุกศาลาว่าการ กทม. เรียกร้องขอเสนอ 9 ข้อ ที่กลุ่มผู้ค้าได้หารือกันแล้ว ซึ่ง 1 ในนั้น คือขอให้ กทม. ประสานกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เปิดพื้นที่ใต้ทางด่วนอุรุพงษ์-จารุเมือง ให้ใช้ค้าขายแทนพื้นที่เดิม
สาเหตุสำคัญ..พื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่ “ถนนสายหลัก” อีกทั้งยัง “ไม่ไกลจากที่เดิม” สะดวกทั้งคนซื้อ-คนขาย!!!
13 ก.พ. 2558 “สกู๊ปหน้า 5” ลงพื้นที่สำรวจตั้งแต่ถนนจารุเมือง บริเวณแยกมหานคร ที่เชื่อมต่อกับถนนพระราม 4 ไปสุดปลายทางที่แยกอุรุพงษ์ ระยะทางประมาณ 2.3 กิโลเมตร แบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก..เริ่มตั้งแต่แยกมหานคร ไปจนถึงแยกพงษ์พระราม ตัดกับถนนพระราม 1 บริเวณนี้ใต้ทางด่วนถูกจับจองเป็นพื้นที่จอดรถทั้งแท็กซี่ สามล้อเครื่อง ตลอดจนรถบัสรับ-ส่งนักท่องเที่ยว ขณะที่ริมถนนพระราม 1 เป็นที่ตั้งของลานกีฬาชุมชน
ป้าหน่อย หญิงวัย 48 ปี ขายอาหารตามสั่งอยู่ในบริเวณนี้ มองว่า หากจะใช้พื้นที่ใต้ทางด่วน คงไม่สามารถทำได้ เพราะกลายเป็นที่จอดรถไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ไม่ใช่ถนนสายหลัก ดังนั้นทางเท้าบริเวณนี้ก็น่าจะเปิดเป็นจุดผ่อนผัน ในลักษณะ “กึ่งถนนคนเดิน” ให้ขายตามเวลาเดิมของคลองถม คือเย็นวันเสาร์ถึงเช้าวันอาทิตย์ได้
อีกทั้งปกติถนนเส้นนี้ตอนกลางคืนค่อนข้างเปลี่ยว การที่มีตลาดซึ่งมีชื่อเสียงมาตั้ง น่าจะทำให้มีผู้คนพลุกพล่าน ลดบรรยากาศที่น่ากลัวลงได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ป้าหน่อย กล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่ตั้งต้นหลักควรจะเป็นพื้นที่รกร้างใต้ทางด่วน บริเวณแยกพงษ์พระรามน่าจะดีกว่า
“ยังไม่รู้นะว่าจะมาตั้งตรงไหนของจารุเมือง แต่ถ้าย้ายมาก็ไม่เป็นไร เพราะสงสารคนทำมาหากินเหมือนกัน อยากให้หาทางช่วยเหลือเขา แต่ถ้าจะให้ดี ไปตรงแถวๆ อาคารศรีจุลทรัพย์ ดีกว่า ตรงนั้นมีที่ว่างๆ ค่อนข้างกว้าง แต่คงต้องประสานกับการทางพิเศษ ซึ่ง กทม. ก็ควรดำเนินการให้นะ” หญิงวัยกลางคนรายนี้ กล่าว
ขณะที่ใน ช่วงที่ 2 ตั้งแต่แยกพงษ์พระราม ขึ้นไปถึงแยกอุรุพงษ์ บริเวณนี้หากเป็นใต้ทางด่วนบริเวณแยกอุรุพงษ์ ปัจจุบันเป็นลานกีฬาชุมชน ไม่สามารถตั้งร้านค้าได้ อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับแยกยมราชที่มีทางรถไฟ กับถนนเพชรบุรีอันเป็นถนนสายหลัก หากตั้งบริเวณนี้อาจกระทบต่อการจราจรในจุดดังกล่าวซึ่งค่อนข้างหนาแน่นตลอดเวลา
แต่บริเวณใต้ทางด่วนแยกพงษ์พระราม-ถนนพระราม 1 ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ อาคารศรีจุลทรัพย์ พบว่ามีช่วงหนึ่งเป็นพื้นที่รกร้าง กว้างราว 40-50 เมตร ยาวประมาณ 150 เมตร ถูกใช้เป็นที่ทิ้งขยะและที่หลับนอนของคนเร่ร่อน ซึ่ง ป้านี วัย 55 ปี แม่ค้าข้าวแกงที่อาศัยบริเวณดังกล่าว บอกว่าจุดนี้ถือเป็น “จุดเสี่ยง” โดยเฉพาะยามค่ำคืน
ป้านี เล่าว่า ภาพที่ชินตาของผู้คนที่อาศัยบริเวณนี้ คือคนเร่ร่อนที่ใช้ชีวิตกับกองขยะ และบ่อยครั้งคนกลุ่มนี้มีการเผาขยะ โดยเฉพาะพลาสติกและสายไฟ ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนไปทั่ว หรือบางครั้งมีการถือสิ่งของต่างๆ มาขาย ซึ่งตนไม่แน่ใจว่าขโมยจากบ้านเรือนใกล้เคียงมาหรือไม่? อีกทั้งในยามค่ำคืน พื้นที่จุดนี้ค่อนข้างมืดและเปลี่ยว จึงเห็นด้วยหากจะปรับปรุงพื้นที่จุดนี้ให้เป็นตลาดคลองถมแห่งใหม่ เพราะจะทำให้ผู้คนพลุกพล่าน ดูแล้วปลอดภัยมากขึ้น
“ตรงนี้เละเทะมากนะ มีคนจรจัดอยู่อาศัย ดูแล้วน่ากลัว แถมชอบเอาสายไฟ เอาขยะมาเผา เหม็นมาก ไม่รู้มีสารพิษอะไรหรือเปล่า? แล้วกลางคืนก็เปลี่ยวด้วย บางทีพวกนี้ก็เดินเอาหม้อเอากระทะมาขาย ไม่รู้ขโมยมาหรือเปล่า? เชื่อว่าถ้าปรับปรุงตรงนี้ให้คลองถมมาขายได้ พื้นที่ก็คงสว่างขึ้น คนคงเดินกันมากขึ้น ก็จะไม่น่ากลัว” ป้านี ระบุ
เช่นเดียวกับ ลุงเล็ก ชายชราวัย 79 ปี เป็นคนพื้นที่อีกราย ที่เห็นด้วยหากจะใช้พื้นที่นี้เป็นจุดตั้งต้นของตลาดคลองถมแห่งใหม่ เพราะที่ผ่านมา “เอือมระอา” กับคนเร่ร่อนและการเผาขยะส่งกลิ่นรบกวน โดยที่ผ่านมาเคยแจ้งไปยังสำนักงานเขตและสถานีตำรวจในพื้นที่ แต่ก็ทำได้เพียงไล่ไปชั่วคราว สักพักคนกลุ่มนี้ก็กลับมาเช่นเดิม อีกทั้งบริเวณดังกล่าว รวมถึงถนนจารุเมือง ไม่ใช่ถนนสายหลัก และตลาดคลองถมก็ขายเพียงคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันอาทิตย์เท่านั้น ไม่น่าจะกระทบอะไรมากนัก ตรงกันข้ามน่าจะช่วยลดพื้นที่เสี่ยงภัยได้ด้วย
“กลางคืนนะ ถ้าเดินฝั่งใต้ทางด่วนจะน่ากลัวมาก มีคนเร่ร่อน แล้วชอบเอาสายไฟมาเผา เคยแจ้งทั้งเขต ทั้ง สน. ไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เชื่อว่าถ้าคลองถมย้ายมาตรงนี้น่าจะดีขึ้น อีกอย่างแถวนี้ไม่ใช่เส้นทางหลัก และขายแค่เสาร์อาทิตย์ ไม่น่าจะเป็นไร หรือฝั่งจารุเมือง ริมถนนกลางคืนก็มีแค่รถบัสของโรงแรมเท่านั้น คือเริ่มจากใต้ทางด่วนตรงนี้ แล้วที่เหลือก็ยาวเข้าไปทางจารุเมืองก็ได้” ชายชรารายนี้ ให้ความเห็น
แต่วันที่ 13 ก.พ. 2558 เช่นกัน ผู้บริหาร กทม. ไม่ว่าจะเป็น นายวัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. รวมถึง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. ยืนยันตรงกันว่า ไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องของผู้ค้าชาวคลองถมได้ เพราะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย อีกทั้งถ้าให้ขายที่อื่นๆ ก็จะไปสร้างความเดือดร้อนกับพื้นที่นั้นๆ อีก
ทว่าข้อสังเกตหนึ่ง..ตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 หมวด 9 (มาตรา 41-43) บัญญัติว่า ให้อำนาจเจ้าพนักงานท้องถิ่นสามารถกำหนดจุดผ่อนผันสำหรับขายสินค้าได้ เช่นเดียวกับ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การจำหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ พ.ศ. 2545 อันเป็นกฎหมายลูกที่ออกตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ในข้อ 5 ระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดจำหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายโดยลักษณะวิธีการจัดวางสินค้าในที่หนึ่งที่ใดเป็นปกติหรือเร่ขาย เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น” เท่ากับกฎหมายยังเปิดช่องให้ทำได้หรือไม่?
หาบเร่แผงลอย ด้านหนึ่งจะสร้างปัญหากีดขวางทางเท้า เป็นที่เดือดร้อนรำคาญแก่ผู้สัญจรไป-มา แต่อีกด้านหนึ่ง ต้องยอมรับว่านี่คือส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ในฐานะที่เป็นแหล่งซื้อ-ขายของคนรายได้ไม่สูงนัก โดยเฉพาะตลาดคลองถมที่เปิดมานานหลายสิบปีจนกลายเป็น “แลนด์มาร์ค” จุดหนึ่งของ กทม. ไปแล้ว
แม้กระทั่งเว็บไซต์ กทม. เอง ในส่วนของ สำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ก็ยังเคยบรรจุตลาดคลองถมเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ (ดูรายละเอียดได้ที่ http://office.bangkok.go.th/pomprap/index.php?option=com_content&view=article&id=92&Itemid=132 ) จึงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีวันที่ตลาดแห่งนี้ต้องปิดตัวลง ดังนั้น กทม. อย่าเพิ่ง “ปิดประตูเจรจา” แต่ควรมีการหารือกับกลุ่มผู้ค้าอีกครั้ง เพื่อหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้
เพราะคนกลุ่มนี้ก็เป็นเพียงประชาชนหาเช้ากินค่ำ..ไม่ใช่อาชญากรหรือผู้ก่อการร้ายที่เป็นภัยต่อความมั่นคง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี