องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ “วันที่ 1 ธันวาคม” ของทุกปีเป็น “วันเอดส์โลก” (World AIDS Day) เพื่อย้ำเตือนให้มนุษยชาติตระหนักถึงอันตรายจากโรคร้ายชนิดนี้ที่ในปัจจุบัน ยังไม่มียาใดรักษาให้หายขาด ผู้ป่วยทำได้เพียงรับประทานยาต้านไวรัสตลอดชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพดีดังคนปกติเท่านั้น
สำหรับประเทศไทย นับตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อไวรัส “เอชไอวี” (HIV) ที่ก่อให้เกิดโรคเอดส์เป็นครั้งแรกในปี 2527 แม้ด้านหนึ่งจะมีแนวโน้มดีขึ้นในบางเรื่อง เช่นหญิงบริการทางเพศที่เคยเป็นกลุ่มเสี่ยงหลักในอดีต วันนี้ตระหนักในการป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น ดังรายงาน “ภาพรวมสถานการณ์การระบาดของการติดเชื้อเอชไอวีประเทศไทย พ.ศ.2556” โดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
ระบุว่า ในปี 2536 หญิงบริการทางเพศถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดในการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ โดยพบความชุกของการติดเชื้อสูงถึงร้อยละ 28 ทว่านโยบายของภาครัฐทั้งการรณรงค์ให้ความรู้ในการใช้ถุงยางอนามัย และการทำงานเชิงรุกเข้าหากลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ของหน่วยงานด้านสาธารณสุข ทำให้ความชุกของการติดเชื้อลดลงตามลำดับ เช่น สถิติทั่วประเทศในปี 2556 หญิงขายบริการทางเพศแบบเปิดเผย มีความชุกของการติดเชื้อร้อยละ 2.5 และหญิงขายบริการทางเพศแบบแอบแฝง มีความชุกของการติดเชื้อร้อยละ 1.96
โปสเตอร์รณรงค์สวมถุงยางอนามัยป้องกันโรคเอดส์ของ กทม.
แต่อีกด้านหนึ่ง หากจำแนกหญิงบริการเป็นกลุ่มย่อยต่างๆ พบว่า กลุ่มที่ทำงานนอกสถานบริการ (เช่น ขายบริการอยู่ริมถนนหรือผ่านสื่อออนไลน์) มีความเสี่ยงมากที่สุดในกลุ่มหญิงบริการทั้งหมด เช่น การสำรวจในเขต กทม. ปี 2550 พบว่าหญิงบริการประเภททำงานนอกสถานบริการ มีความชุกของการติดเชื้อสูงถึงร้อยละ 20 มากกว่าหญิงบริการประเภททำงานในสถานบริการ ทั้งแบบเปิดเผยและแบบแอบแฝง ซึ่งมีความชุกของการติดเชื้อเพียงร้อยละ 4.6 และ 1.6 ตามลำดับ
รวมถึง กลุ่มชายรักชาย กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงมากที่สุดในยุคหลังๆ รายงานฉบับเดียวกัน อ้างอิงการสำรวจใน 3 เมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่าง กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ตในปี 2555 พบว่า กทม. มีความชุกของการติดเชื้อในกลุ่มชายรักชายสูงถึงร้อยละ 24 เชียงใหม่ มีความชุกของการติดเชื้อร้อยละ 23 และภูเก็ต มีความชุกของการติดเชื้อร้อยละ 14
สอดคล้องกับการเปิดเผยของ นายโกวิท ยงวานิชกิจ รองผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร เมื่อเดือน เม.ย. 2558 ว่าในพื้นที่ กทม. ช่วงต้นปี 2558 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,771 คน ซึ่งเป็นกลุ่มชายรักชายมากที่สุดถึงร้อยละ 60 หรือจำนวน 1,066 คน รวมถึงเมื่อเดือน มิ.ย. 2558 นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรคในขณะนั้น กล่าวว่า ในปี 2557 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7,324 คน เป็นกลุ่มชายรักชายถึงร้อยละ 46.7 หรือเกือบครึ่งหนึ่ง
เช่นเดียวกับเมื่อเดือน พ.ค. 2558 รศ.เดวิด พี. วิลสัน นักวิชาการจากสถาบันเคอร์บี มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ (Kirby Institute, University of New South Wales, Australia) ในฐานะผู้อำนวยการโครงการเอดส์โลก ธนาคารโลก (World Bank) กล่าวในงานแถลงข่าว “การขยายบริการตรวจและรักษาเอชไอวีในกลุ่มชายรักชายในกรุงเทพมหานคร” ว่า กทม. เป็นเมืองที่มีอัตราการติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มชายรักชายสูงที่สุดในเอเชีย
โดยหากย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน กทม. มีชายรักชายติดเชื้อเอดส์เพียงร้อยละ 5 แต่ช่วง 15 ปีที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 40 และมีแนวโน้มจะเพิ่มเป็นร้อยละ 59 ในอีก 10 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ รศ.เดวิด ระบุว่า ปัจจุบัน กทม.มีกลุ่มเสี่ยงอยู่ราว 62,000 คน ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
อีกประเด็นหนึ่งที่มีความเข้าใจกันว่า “ออรัลเซ็กซ์” (Oral Sex) หรือการใช้ปากกับอวัยวะเพศ ไม่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอดส์ ต้องบอกว่า “เป็นความเชื่อที่ผิด” โดย นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท 2 เขียนบทความ “Oral sex กับ Dental gum” ลงในบล็อกส่วนตัว เมื่อ 14 ธ.ค. 2553 อ้างอิงงานวิจัยจากต่างประเทศ หัวข้อ Oral transmission of HIV. AIDS 1998 : 12(16); 2095-2105
ที่ระบุว่า พบผู้ติดเชื้อเอดส์จากการใช้ปากกับอวัยวะเพศเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีเพศสัมพันธ์แบบอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งแม้การติดเชื้อเอดส์ทางนี้จะเป็นไปได้ยากและน้อยกว่าการมีเพศสัมพันธ์แบบปกติก็ตาม ดังข้อมูลจาก เว็บไซต์ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย (www.trcarc.org) ที่ระบุว่า หากผู้ทำไม่มีแผลในปากหรือในลำคอก็ไม่ติด แต่ก็ “ไม่ควรประมาท” ต้องสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งด้วยเช่นกัน
ด้าน นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ฝากเชิญชวนประชาชนผ่าน “สกู๊ปหน้า 5” ให้มาตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอดส์กันอย่างน้อย “สักครั้งหนึ่งในชีวิต” แม้จะไม่ใช่กลุ่มที่มีความเสี่ยงก็ตาม เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่มาเป็นภรรยาหรือสามีนั้นติดเชื้อจากที่อื่นมาก่อนหน้าหรือไม่
ซึ่งปัจจุบันศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย หรือ “คลินิกนิรนาม” สามารถตรวจหาเชื้อเอดส์ได้หลังมีพฤติกรรมเสี่ยงครั้งล่าสุดตั้งแต่ 14 วันขึ้นไป นอกจากนี้คนไทยยังมีสิทธิในการ “ตรวจเอดส์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายปีละ2 ครั้ง” และหากพบเชื้อก็สามารถเข้าสู่ระบบการรักษาได้ทันทีแม้จะยังไม่มีอาการ
“ใครก็ตามที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นชายรักชายหรือชายหญิงทั่วไป ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่สามีภรรยาของตัว ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน ก็สมควรจะไปตรวจดูว่าติดเชื้อหรือไม่ เพราะถ้าตรวจเจอก็จะเข้าสู่ระบบการรักษาได้ฟรี ทำให้ไม่ป่วยและมีอายุยืนยาวแบบคนอื่นทั่วๆ ไป หรือคนที่ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สามีภรรยาคู่เดียวอยู่กันมาสิบปียี่สิบปี ก็ไม่แน่ใจว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะติดเชื้อมาก่อนเป็นสามีหรือภรรยาของเราหรือไม่
ดังนั้นถึงเป็นสามีภรรยากันก็แนะนำว่าควรไปตรวจหาการติดเชื้ออย่างน้อยๆ สักครั้งในชีวิตพร้อมๆ กัน ถ้าไม่ติดก็ไม่ต้องไปตรวจอีกเลยจนกว่าจะมีพฤติกรรมเสี่ยงอีก เพราะถ้าบอกว่าเป็นเรื่องของกลุ่มเสี่ยง แต่ละคนก็จะคิดว่าตัวเองไม่เสี่ยง ก็ไม่คิดสนใจที่จะไปตรวจเลือด เวลานี้รัฐบาลเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนได้ตรวจเลือดฟรีถึงปีละ 2 ครั้งครับ” ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ฯ ฝากทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี