ในตอนที่แล้ว เป็นการบอกเล่าถึงความเดือดร้อนของชาวลาวอพยพที่เข้าไม่ถึงสิทธิตามกฎหมายอันพึงมีพึงได้เนื่องจากเป็นผู้ตกสำรวจ ส่วนในตอนนี้ จะเป็นมุมมองของฝ่ายรัฐผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ รวมถึงนักวิชาการว่าควรจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไร
เสียงสะท้อนจากอำเภอ
“ที่มีปัญหาแล้วปลัดอำเภอกลัว คือมันมีมาแล้ว หมอตำแยไปรับรองว่าคนนี้เกิด แต่ไม่ได้เกิดในเมืองไทย มันก็เลยเป็นคดีขึ้น เดี๋ยวนี้ก็อยู่ในชั้นศาล คนที่โกหกก็โดนหมด แต่ถ้าไม่โกหกก็ได้หมด มันก็เลยกลัวกัน ก็ต้องสอบกัน”
คำบอกเล่าจาก จันทร์ฉวีวรรณ สีมาฤทธิ์ ปลัดอำเภอโขงเจียม อธิบายถึงความจำเป็นในการตรวจสอบอย่างละเอียดสำหรับผู้ที่จะมาขอสัญชาติไทย เช่นตัวอย่างนี้เป็นกรณี พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 มาตรา 23 ที่ให้สิทธิกับบุตรของคนต่างด้าวไม่ว่าจะสถานะใดก็ตาม หากเกิดบนแผ่นดินไทยก่อนวันที่ 26 ก.พ. 2535 สามารถยื่นขอสัญชาติไทยได้ ทว่าในความเป็นจริง มีบางรายไม่ได้เกิดในไทยแต่หาคนมาเป็น “พยานเท็จ” เพื่อขอใช้สิทธินี้ด้วย ซึ่งนอกจากตัวผู้กระทำจะมีความผิดตามกฎหมายแล้วเจ้าหน้าที่รัฐหากไม่รอบคอบเพียงพอก็อาจพลอยมีความผิดไปด้วย
นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดในด้านกฎหมาย ยกตัวอย่างพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 7 ทวิ ที่ผู้เป็นบิดาหรือมารดา อย่างน้อยๆ ต้องถือ “บัตรประจำตัวเลข 6” ที่ระบุสถานะว่าเป็นผู้อพยพต่างชาติกลุ่มต่างๆ บุตรจึงมีสิทธิในการขอสัญชาติไทยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง “การสั่งให้บุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ที่เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว ได้สัญชาติไทยเป็นการทั่วไป และการให้สัญชาติไทยเป็นการเฉพาะราย”
แต่บางรายเพราะทั้งบิดาและมารดามีเพียง “บัตรประจำตัวเลข 0” ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ไม่มีสัญชาติระบุว่ามาจากที่ใด ทำให้บุตรของคนกลุ่มนี้ไม่สามารถขอสัญชาติไทยได้ เนื่องจากประกาศดังกล่าวไม่รวมถึงผู้มีบัตรเลข 0 ด้วย
เช่นกรณีของ สมศักดิ์ อินทะโสม ที่บุตรคนโตได้สัญชาติไทยตาม พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 มาตรา 23 เพราะเกิดก่อนวันที่ 26 ก.พ. 2535 แต่บุตรอีก 2 คนไม่ได้สัญชาติไทยเพราะเกิดหลังวันดังกล่าว ซึ่งหากจะขอสัญชาติต้องมาใช้ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 7 ทวิ แต่ก็ใช้ไม่ได้อีกเพราะเป็นบุคคลตกสำรวจไม่ได้รับการระบุว่าเป็นชาวลาวอพยพทั้งที่มีหลักฐานจากค่ายอพยพชัดเจน จุดนี้ต้องรอมติคณะรัฐมนตรีออกมาเป็นรายครั้งคราวไป
“ถ้าพ่อกับแม่ไม่มีบัตรเลข 6 กฎหมายนี้ก็ยังไม่ให้ ก็ต้องรอให้ออกกฎหมายมา คือเกิดในไทยก็ยังไม่ได้เพราะกฎหมายยังไม่ให้ เราก็ทำไปได้เท่าที่กฎหมายจะให้ในแต่ละช่วง อย่างมาตรา 7 ทวิ วรรค 2 บิดาหรือมารดาต้องเป็นเลข 6 ในขณะนี้เราก็ต้องทำตามระเบียบที่มี” ปลัดอำเภอรายนี้ ระบุ
ถึงเวลาภาครัฐต้องแยกแยะ
แม้จะเข้าใจได้ว่าภาครัฐโดยเฉพาะ “ฝ่ายความมั่นคง” ค่อนข้างกังวลกับการให้สัญชาติไทยกับชาวต่างชาติ เพราะเป็นห่วงว่าจะจูงใจให้มีผู้อพยพกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มอีก รวมถึงปัญหาทุจริตนำคนลักลอบเข้าเมืองมาสวมสิทธิ์เป็นผู้อพยพ แต่ในมุมมองของ สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานคณะอนุกรรมการด้านผู้อพยพไร้สัญชาติ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เชื่อว่าหากรัฐจะทำจริงๆ ย่อมสามารถ “แยกแยะ” ระหว่างผู้อพยพหน้าเก่าตกสำรวจ กับคนลักลอบเข้าเมืองหน้าใหม่ที่แฝงตัวเข้ามาได้
“เมื่อเขาเป็นผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทย เขาก็ควรได้รับการดูแลในฐานะผู้อพยพ ต่อมารัฐก็มีนโยบายให้สิทธิอาศัยชั่วคราว ก็คือบัตรผู้ไม่มีสัญชาติไทย ใช้คำว่าลาวอพยพ มีเลข 13 หลักขึ้นต้นด้วยเลข 6 ซึ่งปัจจุบันกลุ่มนี้สามารถขอถิ่นที่อยู่ถาวรได้แล้ว เหมือนคนจีนสมัยก่อน เข้ามาก็ได้ใบต่างด้าว ชื่อก็อยู่ใน ทร.14 (ทะเบียนบ้าน) แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย พอรุ่นลูกเกิดมาโดยพ่อแม่ได้ใบต่างด้าวแล้วก็ได้สัญชาติไทยตามหลักดินแดนเลย
บัตรเลข 0 นี่คือเก็บคนที่ตกหล่นแต่อยู่มานานแล้วเพื่อรอการพิสูจน์ แต่รัฐก็ไม่ยอมพิสูจน์โดยอ้างว่ามีการทุจริต เดี๋ยวมีคนปลอมเข้ามา แต่ตอนนี้เรื่องทุจริตทั้งหลายกรมการปกครองเขาจบไปส่วนใหญ่แล้ว ก็ให้ดีเอสไอ (DSI-กรมสอบสวนคดีพิเศษ) เข้ามาตรวจสอบ เอาขึ้นศาลไปมากแล้ว ฉะนั้นควรจะมาดูว่ากลุ่มนี้ควรจะพัฒนาอย่างไร ถ้าเป็นบัตรเลข 0 ที่เป็นคนตกหล่น ก็ต้องให้สิทธิ์เหมือนพี่น้องเขาที่ได้สิทธิ์ไปแล้ว” สุรพงษ์ กล่าว
สอดคล้องกับความเห็นของ ศิระศักดิ์ คชสวัสดิ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนคนรักน้ำของ เสนอแนะว่า สำหรับผู้มีบัตรเลข 0 หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้อพยพที่อยู่มานานจริง ก็ควรได้สิทธิเฉกเช่นผู้ถือบัตรเลข 6 ซึ่งได้สิทธิตั้งถิ่นฐานถาวรในไทยไปก่อนหน้าแล้ว เพื่อให้ได้สิทธิต่างๆ เช่น การทำงาน การเดินทาง การขับขี่ยานพาหนะ รวมถึงลูกของคนกลุ่มนี้จะสามารถขอสัญชาติไทยได้
และทั้งนี้ปัจจุบันก็มีการแยกระหว่าง 2 กลุ่มดังกล่าวอยู่แล้ว โดยผู้อพยพจากปัญหาสงครามในอดีตที่อยู่มานานจะได้บัตรเลข 0 ที่ไม่ระบุว่าเป็นคนชาติใด ขณะที่คนต่างชาติ3 ประเทศ ซึ่งเข้ามาขึ้นทะเบียนเป็นแรงงานยุคหลังๆ จะได้ “บัตรประจำตัวเลข 00” และระบุสัญชาติชัดเจนว่ามาจากเมียนมา ลาว หรือกัมพูชา จึงเชื่อว่าไม่ยากหากภาครัฐมีความตั้งใจในการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
“ถ้าพิสูจน์ได้ว่าอพยพหนีภัยสงครามในอดีต แล้วก็อยู่มานานในประเทศไทยจนกลับประเทศต้นทางไม่ได้ ผมคิดว่าต้องทำให้เหมือนกัน คือเลข 6 เขามีสิทธิขอสถานะอยู่ถาวรในไทย คนกลุ่มเลข 0 ก็ควรจะได้เหมือนกันเพื่อที่จะแก้ปัญหาถึงรุ่นลูก ลูกจะได้ขอสัญชาติไทยตามมาตรา 7 ทวิได้
คือจริงๆ มันมีเงื่อนเวลากำหนดได้อยู่แล้ว อย่างบางคนเขาเข้ามาหลังปี 2542 พอสำรวจก็ไม่ได้บัตร แต่ถ้าเข้ามาก่อนนั้นก็จะได้ อะไรแบบนี้ คือไหนๆ คนกลุ่มนี้ไม่มีทางจะออกไปจากประเทศไทยได้แล้ว ประเทศไทยก็ต้องคิดว่าจะให้เขาอยู่ในฐานะไหน จะให้หลบๆ ซ่อนๆ เป็นภาระสังคมไปตลอด แล้วมันจะมีโอกาสไปเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ เช่นเขาต้องลักลอบทำงาน ถูกกดค่าแรง หรือไปเจอเจ้าหน้าที่บางรายเรียกรับผลประโยชน์” ศิระศักดิ์ ฝากทิ้งท้าย
จากทั้งหมดนี้..ไม่ว่าจะเป็นมุมมองของนักกฎหมายหรือภาคประชาสังคม เชื่อว่าภาครัฐสามารถแก้ปัญหาคนตกสำรวจเหล่านี้ได้ เนื่องจากแต่ละท้องถิ่นย่อมรู้กันอยู่แล้วว่าใครอพยพมาเพราะการสู้รบเมื่อนานมาแล้ว และใครเป็นคนต่างด้าวเข้ามาภายหลังเพื่อหาช่องทางลักลอบทำงานในไทย การแยกแยะเพื่อใช้มาตรการที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ขึ้นอยู่กับว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะ “จริงจัง” กับปัญหานี้แค่ไหน?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี