โคลนทอง อายุ 1 ปี 6 เดือน น้ำหนัก 167 กิโลกรัม











“วันพืชมงคล” ที่เวียนมาถึงครั้งนี้“จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ได้นำ “โคลนทอง” ซึ่งเป็น ลูกควายโคลนนิ่ง(Cloning) จากเซลล์ใบหูพญาควายปลักไทย ตัวแรกของโลก น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการโคลนนิ่ง ประกอบด้วยทีมนักวิจัยคือ นายเกรียงศักดิ์ ทาศรีภู, น.ส.วรรณวิภา สุทธิไกร, นายสรรเพชญ โสภณ, น.ส.ราตรี จินตนา,น.ส.กิติยา ศรีศักดิ์วัฒนะ, นายวิสุทธิ์ นวลชื่น, นายสังวร อยู่สว่าง อยู่ภายใต้การสนับสนุนของ รองศาสตราจารย์ สัตวแพทย์หญิง ดร.อนงค์ บิณฑวิหค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตปศุสัตว์ และศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.มงคล เตชะกำพุ คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้รับเงินอุดหนุนการวิจัยจากงบประมาณแผ่นดินภายใต้ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตปศุสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และงบรายได้เงินทุนโครงการในแผนพัฒนาวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (จุฬาฯ๑๐๐ ปี) ภายใต้โครงการศูนย์นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางสัตวแพทย์

พญาควาย ‘โคลนทอง’

สำหรับ รายละเอียดของ “โคลนทอง” เป็นลูกควายโคลนนิ่ง เพศผู้ เกิดเมื่อวันอังคารที่ 25 ตุลาคม 2554 เวลา 14.40 น. น้ำหนัก 40.5 กิโลกรัม มีลักษณะเหมือนพ่อควายตัวต้นแบบ ซึ่งมีลักษณะเด่น ของ“พญาควาย” คือ มีลักษณะ “หน้าดอก-หางแบน-ข้อเท้าด่าง-ปากคาบแก้ว-เท้าขุนนาง” คือ บริเวณหน้าผาก ช่วงระหว่างเขา จะปรากฏเป็นโพธิสีขาวหรือ“หน้าดอก” ส่วนหางจะแบนคลี่คล้ายพัดและมีสีขาว ด้านข้อเท้าทั้ง 4 ตั้งแต่ใต้เข่าลงไป จะเป็นสีขาว เหมือนกับใส่ถุงน่อง หรือมีลักษณะคล้าย “กระทิง”

ส่วนปากจะมีสีขาวนับตั้งแต่เหนือจมูกลงไป หรือเรียกว่า “ปากคาบแก้ว” ปลายลิ้นมีปื้นสีดำ สำหรับกีบเท้า ทั้ง 4 ขา จะยาวออกมาพิเศษอย่างเห็นได้ชัดเจน เรียกว่า “เท้าขุนนาง”

บางตำราว่า หน้าดอก-หางดอก-กีบเท้าด่าง-หางแบน-ปากคาบแก้ว (บริเวณปากด่างเหมือนคาบแก้วอยู่) ต้องมีลักษณะเด่นครบทั้ง 5 อย่าง

ตามความเชื่อของคนไทยตั้งแต่โบราณกาลระบุไว้ว่า หากครอบครัวใดมี “พญาควาย” เอาไว้ในครอบครองจะพบแต่ความสุขความเจริญ การทำนาจะเป็นไปด้วยความราบรื่น เนื่องจาก “พญาควาย” จะช่วยทำหน้าที่ในการดูแลควายภายในฝูงได้เป็นอย่างดี ซึ่งควายลักษณะเช่นนี้พบน้อยมากจนแทบสูญพันธุ์ จึงควรอนุรักษ์พันธุ์ควายที่ดีของประเทศไทยต่อไป

ปัจจุบัน “โคลนทอง” มีอายุ 1 ปี 6 เดือนเศษ ด้วยน้ำหนัก 167 กิโลกรัม โดยมีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดีมากและมีการพัฒนาของร่างกายปกติจากการวัดส่วนต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่รอบอก ส่วนสูง คอ หาง และหลัง และยังคงไว้ซึ่งลักษณะเด่นครบทั้ง 5 อย่างของ “พญาควาย”

โดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ขอพระราชทานพระราชานุญาตน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายลูกควายโคลนนิ่งจากเซลล์ ใบหูพญาควายปลักไทยตัวแรกของโลก เพื่อเป็นเกียรติประวัติสืบไป ซึ่งมีพระราชกระแสให้นำลูกควายโคลนนิ่งมาเลี้ยงที่โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา

อนุรักษ์ ‘พญาควายปลัก’

ศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.มงคลเตชะกำพุ คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยให้สัมภาษณ์เมื่อครั้งโคลนนิ่ง“โคลนทอง” สำเร็จช่วงปลายปี 2554 ว่า การโคลนนิ่งควายครั้งนี้เป็นการนำเซลล์จากใบหูของพญาควายปลักอายุ 5 ปี จากฟาร์มในจังหวัดพิษณุโลก มาเลี้ยงเป็นเซลล์ต้นแบบในหลอดทดลอง แล้วนำตัวอ่อนไปฝากในมดลูกแม่ควายปลักตัวรับ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2553 ระยะตั้งท้องรวม 326 วัน คลอดลูกควายโคลนนิ่งวันที่ 25 ตุลาคม 2554 ที่ฟาร์มวัวทอง จังหวัดสระบุรีมีวัตถุประสงค์ที่จะนำลูกควายโคลนนิ่งตัวนี้ไปขยายพันธุ์ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ควายที่ดีของประเทศไทยต่อไป

ศ.นพ.มงคลกล่าวว่า การโคลนนิ่งสัตว์ให้ได้ผลคุ้มค่า จะต้องทำในเชิงอนุรักษ์ เช่น สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ และสัตว์ที่พบเฉพาะท้องถิ่น เช่น พญาควายปลัก พบได้น้อยมากจนแทบสูญพันธุ์ คาดว่าในประเทศไทยจะมีพญาควายปลักไม่เกิน 100 ตัว หลายจังหวัดไม่มีพญาควายปลักเลยแม้แต่ตัวเดียว ตามความเชื่อของคนไทยตั้งแต่โบราณระบุไว้ว่า หากครอบครัวใดมีพญาควายเอาไว้ในครอบครองจะพบแต่ความสุขความเจริญ ขณะเดียวกันหากผู้ใดนำพญาควายไปฆ่ากินเนื้อ ผู้นั้นจะพบกับภัยพิบัติต่างๆ จนถึงแก่ชีวิต ทำให้ไม่มีใครคิดทำลาย ฆ่าแกง และขายพญาควาย

นายเกรียงศักดิ์ ทาศรีภู หัวหน้าคณะนักวิจัยโคลนนิ่งพญาควายปลัก เคยให้สัมภาษณ์ เช่นกันว่าวิธีเพาะขยายพันธุ์สัตว์ด้วยวิธีโคลนนิ่งจะทำได้สำเร็จเพียง 1-3% เท่านั้น จึงไม่คุ้มค่าในทางเศรษฐกิจ แต่สามารถตอบโจทย์ในการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ที่หายากหรือใกล้สูญพันธุ์ เช่น พญาควายปลัก เราได้นำเซลล์ใบหูมาเลี้ยงในหลอดทดลองเพื่อเป็นเซลล์ต้นแบบ และนำมาฝากในเซลล์ไข่อ่อนควายที่นำเอาสารพันธุกรรมออก โดยเชื่อมติดเซลล์ต้นแบบกับเซลล์ไข่ด้วยการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า แล้วนำตัวอ่อนไปย้ายฝากในมดลูกแม่ควายตัวรับจำนวน 17 ตัว ปรากฏว่ามีควายท้อง 5 ตัว แต่คลอดออกมาได้ 1 ตัว ตัวที่เหลือแท้งหมด

“ลูกควายโคลนนิ่งตัวนี้สามารถเป็นพ่อพันธุ์ที่ดีได้ตามธรรมชาติ เมื่อลูกควายโตขึ้นจนมีอายุ 3 ปี เราจะรีดน้ำเชื้ออสุจิเพื่อเก็บไว้ใช้ในการผสมเทียมต่อไป ทั้งนี้ ประเทศที่โคลนนิ่งควายได้สำเร็จก่อนไทยคือ ประเทศจีน และอินเดีย ซึ่งเป็นควายต่างสายพันธุ์ สำหรับไทยมีควายปลักซึ่งเป็นควายพื้นเมืองที่แพร่กระจายอยู่ในหลายประเทศแถบอาเซียน” นายเกรียงศักดิ์กล่าว

“โคลนทอง” ถือเป็นก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่ สำหรับการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์หายากชนิดอื่นๆ ต่อไป

SCOOP@NAEWNA.COM