1.“เบลเยี่ยม”ปีศาจตื่นจากภวังค์

            “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ที่หลับใหลไปนาน ตอนนี้เหมือนกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกที

            หลังจากเข้ารอบบอลโลกต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1982-2002 เรียกว่านานถึง 6 สมัย แต่จากนั้นก็หายไปจากมอร์นิเตอร์ ทิ้งความสำเร็จสุดมหัศจรรย์ในการคว้าอันดับ 4 เมื่อปี 1986 เอาไว้เบื้องหลัง

            ยุคความสำเร็จนั้นมีนักเตะชั้นดีมากมาย อาทิ เอริค เกเร็ตส์, แยน คูเลอมองส์ และฌอง มารี พัฟฟ์ รวมไปถึงดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งยุคนั้นอย่าง เอ็นโซ่ ชีโฟ่

            มาในทีมปัจจุบัน ภายใต้การทำทีมของ มาร์ค วิลม็อตส์ ขุนพลชุดสุดท้ายที่มาบอลโลก ปี 2002 สามารถนำทัพกลับมาด้วยนักเตะที่อาจจะเป็น”ยุคทอง”ของพวกเขาก็เป็นได้

            ว่ากันตั้งแต่ด่านสุดท้าย ติโบต์ กูร์กตัวส์ กำลังโดดเด่นขึ้นมาอย่างน่าจับตามอง และกำลังมีโอกาสอันดีในการก้าวขึ้นไปทาบรัศมีของ พัฟฟ์ และมิเชล พรูดอมห์ ในอดีต

            ขณะที่แนวรับ แวงซองต์ ก็องปานี พิสูจน์แล้วกับการเป็นกัปตันทีมแมนฯซิตี้ ที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยในรอบ 3 ปีหลัง รวมไปถึง แยน แฟร์ตองเก้น, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ และโธมัส แฟร์มาเล่น

            ที่น่าจับตามาก ๆ คือแผงกลางและแผงรุก ดูเหมือนกับนักเตะแต่ละคนจะเติบโตขึ้นมาพร้อม ๆ กัน

            เมื่อมี เอแด็น อาซาร์ เป็นตัวหลักเดินเกม และมี มุสซ่า เดมเบเล่, มารูยาน เฟลไลนี่, เควิน เดอ บรอยน์, เควิน มิรัลลาส และอักเซล วิตเซล รวมไปถึง โรเมลู ลูกาคู หัวหอกร่างยักษ์

            พร้อมกับได้ อัดนาน ยานาไซ จากแมนฯยูไนเต็ด เลือกมาเล่นกับ เบลเยี่ยม อีกคนหนึ่งด้วย

            ไม่แปลกที่พวกเขาจะเข้ารอบ 16 ทีมโดยง่าย และเป็นเต็ง 1 ประจำสายนี้!

๐ 23 นักเตะลุยบอลโลก

            ประตู : แซมมี่ บอสซุต,  ติโบต์ กูร์กตัวส์, ซิมง มิโญเล่ต์

            กองหลัง : โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, โลร็องต์ ซิม่า, แว็งซองต์ ก็องปานี, นิโคลัส ลอมบาร์ทส์, แดเนียล ฟาน บุยเต็น, แอนโทนี่ ฟานเดน บอร์เร่, โทมัส แฟร์มาเล่น, แยน แฟร์ทองเก้น

            กองกลาง : เควิน เดอ บรอยน์, สตีเฟ่น เดฟูร์, นาเซอร์ ชาดลี่, มุสซ่า เดมเบเล่, มารูยาน เฟลไลนี่, อั๊ดนาน ยานาไซ, เอแด็น อาซาร์, ดรีส์ เมอร์เท่นส์, เควิน มิรัลลาส, อักเซล วิตเซล

            กองหน้า : โรเมลู ลูกาคู, ดิว็อค โอริกี้

2.“เกาหลีใต้”ขอเซอร์ไพรส์อีกสักที

            ใครเคยคิดได้บ้างว่า “โสมขาว” เกาหลีใต้ จะได้อันดับ 4 ฟุตบอลโลก

            หลังจากเคยเข้าบอลโลกหนเดียว เมื่อปี 1950 หลังคลำทางอยู่นาน กระทั่งปี 1986 พวกเขากลับไปบอลโลกอีกครั้ง

            จากนั้นเป็นต้นมา กลายเป็นขาประจำไปแบบขาดไม่ได้ไปอีกทีม

            นับถึงนาทีนี้ก็ 8 สมัยติดต่อกัน ไม่ธรรมดาจริงๆ

            สะท้านทรวงในที่สุดก็คือ ปี 2002 เกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพร่วมกับ ญี่ปุ่น ซึ่งพวกเขาไม่ได้จัดการแข่งขันอย่างเดียว แต่กลับทำให้โลกตะลึงด้วยการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้อย่างเหลือเชื่อ

            แม้จะมีเสียงกระแทกกระทั้นในเรื่องของ”การตัดสิน”บ่อยครั้งมาก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไปเป็นถึงอันดับ 4 ของโลก

            ในยุคของ ฮง เมียง โบ, ฮวาง ซุน ฮอง, พาร์ค จี ซอง, ซอง ชอง กุ๊ก, อี วุน เจ รวมไปถึง ยู ซาง ชุล พวกเขาคว่ำ อิตาลี ด้วยโกลเด้นโกล์ ในรอบ 16 ทีม ตามด้วยการหักคอ สเปน ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการยิงจุดโทษ

            แน่นอนว่า หลังจากนั้น ปาฏิหาริย์ก็ไม่เกิดขึ้นอีก กระทั่งเมื่อบอลโลกครั้งที่แล้ว “โสมขาว” ตีตั๋วเข้าสู่รอบ 2 ได้สำเร็จ ก่อนจะพ่าย อุรุกวัย ในรอบ 16 ทีม

            หนนี้ถือว่า โอกาสของพวกเขาก็เปิดกว้างเช่นกัน เมื่อสายนั้นก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสเท่าไหร่ แต่ทุกอย่างนั้นต้องวัดดวงตั้งแต่เกมแรกกับ รัสเซีย ที่จะต้องเบียดกันเข้ารอบ

            จะมีเซอร์ไพรส์หรือไม่ อันนี้น่าลุ้นจริงๆ!!!

๐ 23 นักเตะลุยบอลโลก

            ประตู : จอง ซอง-รยอง, คิม ซึง-กยู, อี บอม-ยอง

            กองหลัง : พัค จู-โฮ, ยุน ซุก-ยอง, คิม ยุง-ควอน, ฮวัง ซอค-โฮ, ควัค แท-ฮวี, อี ยง, คิม ชาง-ซู

            กองกลาง : กี ซอง-ยง, ฮา แด-ซอง,ฮาน กุ๊ค-ยอง, พัค จอง-วู, คิม โบ-คยอง, อี ชุง-ยง, จี ทง-วอน, ซน ฮึง-มิน

            กองหน้า : คู จา-ชอล, อี กึน-โฮ, พัค ซู-ยอง และ คิม ชิน-วุค

3.“รัสเซีย”หมีขาวรอวันผยอง

            หากเรานับเฉพาะประเทศรัสเซีย เพียงอย่างเดียว และไม่นับรวมกับ “สหภาพโซเวียต”

            พวกเขาถือว่าไม่ประสบความสำเร็จเอาซะเลยในการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย

            สมัยยังเป็น”แผ่นดินยักษ์”พวกเขาเคยทะลุถึงรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก ปี 1966 ก่อนจะได้อันดับ 4 ในยุคของ “หมึกดำยักษ์” เลฟ ยาชิน นายประตูจอมหนึบ

            ซึ่งในช่วงนั้นบอลของหมีขาวถือว่า กำลังเข้าฝักเข้าฝา เพราะเข้ารอบ 8 ทีม ได้ถึง 4 สมัยซ้อน ๆ ตั้งแต่ปี 1958-1970 จนกระทั่งมาตกรอบแรกในปี 1990

            แล้วก็มีการยุติการเรืองอำนาจของสหภาพโซเวียต

            เมื่ออาณาจักรล่มสลายลง พวกเขาก็คล้ายกับ ยูโกสลาเวีย นั่นก็คือ นักบอลกระจายออกไปตามรัฐอิสระต่าง ๆ และไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา

            ไม่สามารถผ่านเข้ารอบบอลโลกได้เลยนับตั้งแต่ปี 2002

            คราวนี้พวกเขามี ฟาบิโอ คาเปลโล่ กุนซือเลือดอิตาเลี่ยนนำทัพ  ซึ่งชื่อโค้ชอาจจะดูดี แต่มีคำถามว่า “ตกยุคหรือยัง” เช่นเดียวกับนักบอลหลายคนในทีม

            วาซีลี่ เบเรซุตสกี้, อิกอร์ อคินเฟเยฟ, ยูริ ชีร์คอฟ และอเล็กซานเดอร์ เคอร์ชาคอฟ มีคำถามว่า นี่หรือคือตัวหลัก และใครจะหวังว่า อลัน ซาโกเยฟ จะเล่นดีเหมือนในยูโร 2012 หรือเปล่า

            ที่ผ่านมานั้น รัสเซีย เป็นทีมที่เปี่ยมไปด้วยวินัย และเล่นด้วยระบบทีม

            จะไหวหรือเปล่า อันนี้น่าสนใจมาก ๆ กับ”หมีขาว”ตัวนี้

๐ 23 นักเตะลุยบอลโลก

ประตู: อิกอร์ อคินเฟเยฟ, ยูริ โลดี้กิน, เซเกอร์ ไรเซอร์คอฟ

            กองหลัง: วาซีลี่ เบเรซุตสกี้, วลาดิเมียร์ กรานัต, อังเดร เอชเชนโก้, เซเกอร์ อิกนาเซวิช, อเล็กเซ คอซลอฟ, ดิมิทรี โคบาลอฟ, อันเดรีย เซเมนอฟ, จอร์จี้ เชนนิคอฟ

            กองกลาง: เดนิส กลูชาคอฟ, อิกอร์ เดนิซอฟ, อลัน ซาโกเยฟ, ยูริ ชีร์คอฟ, อเล็กเซ อิโลนอฟ, อเล็กซานเดอร์ เซเมนอฟ, วิคเตอร์ ฟายซูลิน, โอเล็ก ชาตอฟ, โรมัน ชิโรคอฟ

            กองหน้า: มักซิม คานันนินคอฟ, อเล็กซานเดอร์ เคอร์ชาคอฟ และ อเล็กซานเดอร์ โคโคลิน

4.“แอลจีเรีย”รอต่อไปกับรอบที่2

            เชื่อเหลือเกินว่า แฟนบอลรุ่นใหม่พอเอ่ยถึงชื่อของ “แอลจีเรีย”

            หลายคนย่อมนึกถึง “ซิซู” ซีเนอดีน ซีดาน สุดยอดดาวเตะแห่งทีมชาติฝรั่งเศส แม่ทัพชุดแชมป์โลก 1998

            นั่นคือนักเตะเลือดแอลจีเรีย

            แต่ในความภูมิใจของชาวแอลจีเรีย ที่แท้จริง ต้องย้อนกลับไปในยุค 80 กับยอดกองหน้าที่ว่ากันว่า เป็นนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

            นั่นคือ ราบาห์ มาดเจอร์

            มาดเจอร์ นำทัพเข้าเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้ถึง 2 สมัย ในปี 1982 และ 1986 โดยประสานงานกับ ลัคห์ดาร์ เบลลูมี่ ซึ่งทั้งคู่นำทัพ แอลจีเรีย จนเป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอลระดับโลก

            เพียงแต่ทำได้ดีที่สุดเพียงรอบแรกเท่านั้น

            หมดยุคของสองยอดดาวเตะตลอดกาลของประเทศ แอลจีเรีย ต้องรอกระทั่งถึงฟุคตบอลโลก ครั้งล่าสุด พวกเขาทะลุมาได้สำเร็จ แต่ก็ต้องตกรอบแรกอีกเช่นกัน

            มาในครั้งนี้  วาฮิด ฮาลิลฮ็อดซิช กุนซือชาวยูโกสลาเวีย เลือกนักเตะมาร่วมทัพ ล้วนแต่เป็นพวก ที่ค้าแข้งยุโรปแทบจะยกทีม

นาบิล เบนทาเล็บ จากสเปอร์ส, ฮัสซัน เย็บด้า มิดฟิลด์ อูดิเนเซ่ รวมไปถึง ฟาอูซี่ กูล็อม แนวรับจากนาโปลี และโซฟิยาน เฟกูลี่ จอมลุยจากบาเลนเซีย

            ขุมกำลังแค่นี้รับรองได้ว่า ไม่เพียงพอต่อการเข้ารอบ

            เพียงแต่มีแต้มออกมาได้ ก็ถือว่าสุดยอดแล้วล่ะครับงานนี้!

๐ 23 นักเตะลุยบอลโลก

ประตู : 1.เซดริก โมฮาเหม็ด, 16.โมฮาเหม็ด เซ็มมามูเช่, 23.ราอิส เอ็มโบลี่

            กองหลัง : 2.มัดยิด บูเกอร์ร่า, 3.ฟาอูซี่ กูล็อม(นาโปลี), 4.เอสซาอิด เบลคาเล็ม(วัตฟอร์ด), 5.ราฟิค ฮัลลิเช่, 6.ดาเมล เมสบาห์, 12.คาร์ล เมดฌานี่, 20.เอสซ่า ม็องดี้, 22.เมห์ดี้ มอสเตอฟา, 17.ลิอาสซิเน่ กามาดูโร่

            กองกลาง : 7.ฮัสซัน เย็บด้า, 8.เมห์ดี้ ลาเซน, 10.โซฟิยาน เฟกูลี่, 11.ยาซีน บราอิมี่, 18.อับเดลมูเมเน่ ฌาบู, 19.ซาเฟียร์ ไตแดร์, 21.นาบิล เบนทาเล็บ

          กองหน้า : 9.นาบิล กิลาส, 13.อีสลาม สลิมานี่, 21.ริยาด มาห์เรซ, 15.เอล อาร์บี ซูดานี่